xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ตรวจการแผ่นดินชง 7 มาตรการ รับมือทุนจีนรุกธุรกิจไทย แก้ต้นทุนพุ่ง–มลพิษ–ค้าขายไม่เป็นธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทุนจีนแย่งอาชีพคนไทยอีก ผู้ตรวจการแผ่นดิน แฉรุกธุรกิจเผาถ่านกะลามะพร้าว ทำผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน ต้นพุ่ง วัตถุดิบขาดแคลน ซ้ำสร้างปัญหามลพิษในชุมชน ขณะที่สายใต้ใหม่ พบต่างด้าวใช้นอมินีค้าขาย หลบข้อจำกัดกฎหมาย แข่งขันไม่เป็นธรรม ชง 7 มาตรการรับมือพร้อมดันกฎหมาย “นอมินี” ใช้บังคับทั่วประเทศ

วันนี้(31ธ.ค.)นายทรงศัก สายเชื้อ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า จากที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำงานเชิงรุกแก้ปัญหาตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว” หรือ นอมินี เข้ามาถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โดยทั้งลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง บูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานรัฐ และผลักดันการปิดช่องโหว่ทางกฎหมายอย่างจริงจังแล้ว ปัจจุบันพบว่าปัญหานอมินี ได้ขยายตัวสู่ธุรกิจค้าปลีก ตลาดสด ตลาดชุมชน และอุตสาหกรรมแปรรูปในท้องถิ่น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยรายย่อย ล่าสุดเป็นกรณีธุรกิจโรงเผาถ่านจากกะลามะพร้าวในอ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับร้องเรียนว่า กลุ่มทุนจีนเข้ามากว้านซื้อกะลามะพร้าวเผาจากชาวบ้านในราคาสูงถึง กิโลกรัมละ 19–20 บาท จากเดิมที่โรงงานไทยรับซื้อเพียงประมาณ 9.50 บาท ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบ และเสี่ยงต่อการหยุดกิจการ 


ขณะเดียวกัน ราคาที่สูงขึ้นจูงใจให้ชาวบ้านเร่งเผากะลามะพร้าวเพื่อจำหน่าย ส่งผลให้เกิด ควันหนาแน่นมลพิษทางอากาศ กระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนเป็นวงกว้าง ซึ่งจากที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ประสานจังหวัดราชบุรีเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พาณิชย์จังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด หน่วยงานสิ่งแวดล้อม สาธารณสุขจังหวัด อำเภอปากท่อ และองค์การบริหารส่วนตำบลยางหัก เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงพบว่า กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอยู่ระหว่างการตรวจสอบธุรกิจเสี่ยงเป็นนอมินี 6 ประเภท รวมกว่า 46,000 รายทั่วประเทศ โดยจังหวัดราชบุรีคัดกรองได้ 58 ราย อยู่ระหว่างตรวจสอบ และมีโรงงานเผาถ่านกะลาที่ได้รับอนุญาตถูกต้องเพียง 9 โรงงานเท่านั้น

สำหรับพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลยางหัก ซึ่งเป็นแหล่งเผากะลามะพร้าวขนาดใหญ่ พบผู้ประกอบการประมาณ 35 ราย แต่ละรายมีเตาเผา 6–8 เตา ตรวจพบค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) สูงหลายจุด และมีควัน–กลิ่นไฟปกคลุมหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวและช่วงเช้ามืด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างชัดเจน 


นายทรงศัก กล่าวด้วยว่าการลงพื้นที่ดังกล่าวนำไปสู่ข้อเสนอแนวทางสำคัญได้แก่1. สร้าง “สมดุล 4 ด้าน” คือ สมดุลในห่วงโซ่การผลิตระหว่างผู้ประกอบการเผาถ่านรายใหญ่–รายย่อยต้องได้ประโยชน์และพัฒนาไปด้วยกัน, สมดุลระหว่างความต้องการในประเทศและส่งออก, สมดุลการอยู่ร่วมกันของ ชาวบ้านที่เผาและกลุ่มไม่เผากะลา และสมดุลเรื่องการผลิตที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม
2. ป้องกันต่างชาติเข้าทำธุรกิจผิดกฎหมายโดยทำให้ราคาซื้อขายในพื้นที่สมดุลช่วยให้ประชาชนเลือกค้าขายกับผู้ประกอบการไทยและลดการแทรกแซงราคา 3.ควบคุมมลพิษอย่างเป็นระบบ โดยเสนอให้ตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดและอนุกรรมการกำกับและดูแลเรื่องเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเป็นการเฉพาะ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมบูรณาการกับส่วนกลางและเอกชน 4.ออกข้อบัญญัติท้องถิ่น เร่งจัดทำข้อบัญญัติแก้ปัญหาแก้มลภาวะจากการเผาถ่าน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ใช้ได้จริง5.คัดกรองการส่งออกให้รัดกุมขึ้นให้กรมการค้าต่างประเทศออกหลักเกณฑ์ และให้กรมศุลกากรและท่าเรือแห่งประเทศไทย เพิ่มการตรวจสอบโดยอาศัยข้อมูลจากชุมชนผ่านจังหวัดเพื่อเป็นกลไกประสาน

6. ติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องนอมินี และต่างชาติซื้อที่ดิน พร้อมผลักดันกฎหมายกลาง“นอมินี”ใช้ทั่วประเทศ 7.กรณีรัฐวิสาหกิจจากประเทศจีน หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า เข้าซื้อสินค้าจะหารือกระทรวงต่างประเทศและพาณิชย์ หากถูกกฎหมายให้ส่งเสริม หากอาศัยช่องว่างต้องเร่งแก้ไขทันที

นอกจากนี้ ยังพบปัญหานอมินีในตลาดสายใต้เซ็นเตอร์ สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน ซึ่งจากรายงานของสำนักงานเขตตลิ่งชันและสถานีตำรวจนครบาลตลิ่งชันที่ได้ตรวจสอบพื้นที่บริเวณตลาดสายใต้เซ็นเตอร์ สายใต้ใหม่ เป็นประจำ พบคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาประมาณ 700 ราย ประกอบกิจการค้าปลีกโดยใช้ชื่อคนไทยขออนุญาตแทน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ค้าคนไทยเสียเปรียบ ถูกคุกคาม และแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม

ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหลังผู้ค้าคนไทยเสียเปรียบหนักและได้เสนอแนะให้หน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขโดยตั้งศูนย์ประสานงานและรับแจ้งเบาะแส ลงพื้นที่ตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายตรวจร้านค้าเสี่ยงเป็นนอมินีในตลาด เขตต่าง ๆ และพื้นที่เศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวทั่วประเทศ กำชับตลาดยืนยันตัวตนผู้เช่าล็อก ห้ามเช่าช่วง และให้การชำระเงินตรงกับผู้ลงทะเบียนจริง มาตรการระยะยาว พัฒนาระบบตรวจสอบนิติบุคคลเข้าข่ายนอมินี
จัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวและผู้ประกอบการเสี่ยงในพื้นที่ กทม.สร้างกลไกเฝ้าระวังร่วมฝ่ายปกครอง–ตำรวจ–ตม.–สำนักงานเขต ทำแผนตรวจประจำปี เน้นตลาดและพื้นที่เศรษฐกิจที่มีแรงงานต่างด้าวหนาแน่น ออกกฎหมายและระเบียบกำกับตลาดด้านการบริหารจัดการ การประกอบการและแรงงาน

ทั้งนี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า กฎหมาย สิ่งแวดล้อม การส่งออก และผลกระทบต่อชุมชน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนและกำหนดแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม


นายทรงศัก กล่าวด้วยว่าการลงพื้นที่ดังกล่าวนำไปสู่ข้อเสนอแนวทางสำคัญได้แก่1. สร้าง “สมดุล 4 ด้าน” คือ สมดุลในห่วงโซ่การผลิตระหว่างผู้ประกอบการเผาถ่านรายใหญ่–รายย่อยต้องได้ประโยชน์และพัฒนาไปด้วยกัน, สมดุลระหว่างความต้องการในประเทศและส่งออก, สมดุลการอยู่ร่วมกันของ ชาวบ้านที่เผาและกลุ่มไม่เผากะลา และสมดุลเรื่องการผลิตที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม
2. ป้องกันต่างชาติเข้าทำธุรกิจผิดกฎหมายโดยทำให้ราคาซื้อขายในพื้นที่สมดุลช่วยให้ประชาชนเลือกค้าขายกับผู้ประกอบการไทยและลดการแทรกแซงราคา 3.ควบคุมมลพิษอย่างเป็นระบบ โดยเสนอให้ตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดและอนุกรรมการกำกับและดูแลเรื่องเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเป็นการเฉพาะ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมบูรณาการกับส่วนกลางและเอกชน 4.ออกข้อบัญญัติท้องถิ่น เร่งจัดทำข้อบัญญัติแก้ปัญหาแก้มลภาวะจากการเผาถ่าน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ใช้ได้จริง5.คัดกรองการส่งออกให้รัดกุมขึ้นให้กรมการค้าต่างประเทศออกหลักเกณฑ์ และให้กรมศุลกากรและท่าเรือแห่งประเทศไทย เพิ่มการตรวจสอบโดยอาศัยข้อมูลจากชุมชนผ่านจังหวัดเพื่อเป็นกลไกประสาน

6. ติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องนอมินี และต่างชาติซื้อที่ดิน พร้อมผลักดันกฎหมายกลาง“นอมินี”ใช้ทั่วประเทศ 7.กรณีรัฐวิสาหกิจจากประเทศจีน หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า เข้าซื้อสินค้าจะหารือกระทรวงต่างประเทศและพาณิชย์ หากถูกกฎหมายให้ส่งเสริม หากอาศัยช่องว่างต้องเร่งแก้ไขทันที


นอกจากนี้ ยังพบปัญหานอมินีในตลาดสายใต้เซ็นเตอร์ สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน ซึ่งจากรายงานของสำนักงานเขตตลิ่งชันและสถานีตำรวจนครบาลตลิ่งชันที่ได้ตรวจสอบพื้นที่บริเวณตลาดสายใต้เซ็นเตอร์ สายใต้ใหม่ เป็นประจำ พบคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาประมาณ 700 ราย ประกอบกิจการค้าปลีกโดยใช้ชื่อคนไทยขออนุญาตแทน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ค้าคนไทยเสียเปรียบ ถูกคุกคาม และแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม

ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหลังผู้ค้าคนไทยเสียเปรียบหนักและได้เสนอแนะให้หน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขโดยตั้งศูนย์ประสานงานและรับแจ้งเบาะแส ลงพื้นที่ตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายตรวจร้านค้าเสี่ยงเป็นนอมินีในตลาด เขตต่าง ๆ และพื้นที่เศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวทั่วประเทศ กำชับตลาดยืนยันตัวตนผู้เช่าล็อก ห้ามเช่าช่วง และให้การชำระเงินตรงกับผู้ลงทะเบียนจริง มาตรการระยะยาว พัฒนาระบบตรวจสอบนิติบุคคลเข้าข่ายนอมินี จัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวและผู้ประกอบการเสี่ยงในพื้นที่ กทม.สร้างกลไกเฝ้าระวังร่วมฝ่ายปกครอง–ตำรวจ–ตม.–สำนักงานเขต ทำแผนตรวจประจำปี เน้นตลาดและพื้นที่เศรษฐกิจที่มีแรงงานต่างด้าวหนาแน่น ออกกฎหมายและระเบียบกำกับตลาดด้านการบริหารจัดการ การประกอบการและแรงงาน

ทั้งนี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า กฎหมาย สิ่งแวดล้อม การส่งออก และผลกระทบต่อชุมชน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนและกำหนดแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น