เมืองไทย 360 องศา
หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศบนเวทีดีเบตครั้งแรกว่า ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม โดยก่อนหน้านี้ ก็มี นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็เคยประกาศว่าไม่อาจร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ขณะที่สองพรรคใหญ่ที่เหลือ คือ พรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย กลับไม่ประกาศท่าทีใดๆ ออกมา ความหมายก็คือ ยังสามารถร่วมกันได้ทุกพรรคยกเว้นกับบางพรรคเท่านั้น ตามที่ได้ประกาศไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เคยตอบคำถามที่ว่า หลังเลือกตั้งอยากจับมือพรรคเพื่อไทย หรือ พรรคประชาชน มากที่สุด นายกรัฐมนตรีย้อนถามว่า ทำไมต้องใช้คำว่าจับมือ ใครก็ตามที่ช่วยกันสร้างประโยชน์ให้บ้านเมือง วันนี้คนไทยเราต้องสมัครสมานสามัคคีเป็นหลักก่อน เรามีเรื่องกับเพื่อนบ้านอยู่ เรื่องการเมืองปล่อยไปตามกลไกของมัน ส่วนใหญ่ต้องหลังเลือกตั้งก่อน ใครไปพูดอะไรก่อน เดี๋ยวจะเจอสถานการณ์พอไปทำไม่ได้ จะกลายเป็นว่าต้องไปกลืนน้ำลาย วุ่นวายไปหมด เรื่องอะไรที่อยู่เหนือการควบคุม ตนไม่มีความเห็นดีกว่า
เมื่อถามว่า กรณีที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาระบุว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชน พร้อมเป็นฝ่ายค้านว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ก็เพราะเสียงของท่าน
ส่วนที่หัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาระบุอีกด้วยว่า นโยบายของพรรคภูมิใจไทยอาจไม่สามารถร่วมงานกันได้ นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับภูมิใจไทยวันนี้ เราพยายามทำให้พี่น้องประชาชนเชื่อใจ มั่นใจ และเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยความพร้อม ด้วยนโยบายที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศ ต่อประชาชน
นั่นคือคำพูดและท่าทีของ นายอนุทิน ก่อนหน้านี้ ที่ยังถือว่ายัง “แทงกั๊ก” ไม่ยอมพูดเพื่อปิดทางตัวเองหลังการเลือกตั้ง เพราะรู้ดีว่า ต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน แต่ล่าสุดหลังจากที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนที่แสดงท่าทีชัดเจน ยืนยันว่าหากพวกเขาได้เป็นรัฐบาล หรือทำหน้าที่ในสภา ก็จะเดินหน้าและสนับสนุนการเสนอกฎหมาย “นิรโทษกรรมความผิด มาตรา 112” โดยเขากล่าวทำนองว่า “ไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพราะคำพูด”
ล่าสุด นายอนุทิน กล่าวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม อีกครั้งว่า พรรคภูมิใจไทย มีความชัดเจนมาโดยตลอดว่าจะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมระบุว่า ติดตามชมรายการดีเบตดังกล่าว และทราบว่าหัวหน้าพรรคประชาชน เป็นคนเดียวบนเวทีที่ยังยืนยันต้องแก้ไข มาตรา 112
“ถ้ายังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ พรรคภูมิใจไทยไม่ร่วมด้วยแน่นอน พรรคไหนจะร่วมก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรค แต่เท่าที่ดูแคนดิเดตของทุกพรรค ไม่มีพรรคไหนตอบว่าจะแก้ไข มาตรา 112 ยกเว้นพรรคประชาชน” นายอนุทิน กล่าว
หากพิจารณากันโดยสรุปในเวลานี้ จะเห็นว่า พรรคการเมืองหลักที่ลงสนามเลือกตั้งในปี 2569 จะมี พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และกล้าธรรม ส่วนที่เหลือจะเป็นพรรคขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่ หรือพรรคที่ตั้งมาก่อนหน้านี้ เช่น รวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่พลังประชารัฐที่เวลานี้ถือว่า “เละ” ไปต่อยากขึ้นไปอีก หลังจากที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทำให้เกิดความระส่ำระสาย
หากโฟกัสกันแบบ “สองขั้ว” ก็ต้องบอกว่า มีภูมิใจไทย กับอีกขั้วหนึ่งคือ พรรคประชาชน ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากความพร้อมแล้ว นาทีนี้ถือว่า ภูมิใจไทย “เหนือกว่า” หลายขุมทีเดียว และผลจากเวทีดีเบตที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้พรรคประชาชน น่าจะถูกทิ้งห่างออกไปอีก จากการแสดงท่าทีชัดเจนว่ายัง “สนับสนุนการแก้ไข มาตรา 112” รวมทั้งการสนับสนุนการสนับสนุนผู้กระทำความผิดในเรื่องดังกล่าว จากการที่ถูกถามเรื่องนี้บนเวที ก็มีแต่หัวหน้าพรรคประชาชนคนเดียว ที่ยกมือสนับสนุน
แน่นอนว่า การสนับสนุนให้นิรโทษกรรมความผิด มาตรา 112 อาจมีเจตนาต้องการรักษาฐานเสียงเดิมที่เป็นพวกเด็กรุ่นใหม่บางกลุ่ม แต่ขณะเดียวกัน ได้ทำลายฐานเสียงอีกหลายกลุ่มของพรรคไปโดยปริยาย
เมื่อวกกลับมาพิจารณา “สองขั้ว” ต่อเนื่อง ที่ต้องบอกว่าเวลานี้พรรคภูมิใจไทยกำลังมีความได้เปรียบทุกด้าน ทั้งอำนาจรัฐ อำนาจท้องถิ่น บ้านใหญ่ บ้านใหม่ ที่เข้ามาเติมอย่างครบครัน และเชื่อว่ากว่าจะถึงกำหนดดีเดย์ย้ายพรรคหลังปีใหม่ ก็น่าจะยังมีอีกบางก๊วนที่จะไหลเข้ามาอีก โดยเฉพาะจากพรรคพลังประชารัฐ ที่ไปต่อลำบาก
ล่าสุด หลังจากมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย ที่พลิกมาเป็น นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว คู่กับ นายอนุทิน และมีการการันตี ทีมรองนายกรัฐมนตรีด้านต่างประเทศ และเศรษฐกิจ นอกเหนือจาก นายสีหศักดิ์ ที่เป็นรองนายกฯควบต่างประเทศแล้ว ยังมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯควบรัฐมนตรีคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ จะเป็นรองนายกฯควบรัฐมนตรีพาณิชย์ กำกับดูแลด้านการค้า และอุตสาหกรรม ยิ่งทำให้เพิ่มเสียงสนับสนุนมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะจากคนชั้นกลางในเมือง
ขณะที่อีกฟากหนึ่ง คือ พรรคประชาชนเวลานี้ ถือว่า “วงแคบ” ลงไปมาก ในการตั้งรัฐบาลกับพรรคอื่น นอกเหนือจากต้องได้เสียงข้างมากเด็ดขาดนั่นคือ เสียงเกิน 250 เสียง ตามที่พวกเขาประกาศก่อนหน้านี้ ซึ่งนาทีนี้ถือว่า “แทบเป็นไปไม่ได้” เลยจากเงื่อนไข สถานการณ์และบรรยากาศในเวลานี้ ที่ผิดแผกไปจากการเลือกตั้งคราวที่แล้วที่บอกว่า “มีลุงไม่มีเรา”
อย่างไรก็ดี หลังการเลือกตั้งย่อมต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน และมีสองขั้วดังกล่าว เพียงแต่ว่าโอกาสที่พรรคภูมิใจไทย มีโอกาสมากกว่า ขณะเดียวกันที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งก็คือ “พรรคตัวแปร” ว่าจะเทไปทางไหน ฝ่ายนั้นก็ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งนาทีนี้ น้ำหนักไปอยู่ที่ “พรรคเพื่อไทย” รองลงมาคือ พรรคกล้าธรรม โดยที่พรรคประชาชน กับพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสเป็นฝ่ายค้านสูงมาก
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ที่บอกว่าเป็น “ตัวแปร” เพราะยังเชื่อว่า แม้ว่าจะเข้าสู่ยุคตกต่ำที่สุดทั้งในระดับ ชินวัตร ของ นายทักษิณ ชินวัตร หรือว่าในระดับพรรค แต่ก็ยังถือว่า น่าจะได้ ส.ส.หลัก “เกือบร้อย” ถือว่ายังเป็นพรรคขนาดกลาง ค่อนไปทางพรรคใหญ่ ที่ถือว่ายังประมาทไม่ได้ หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงมาชู นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ลูกชาย “เจ๊แดง” มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการรักษาสภาพเดิมให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญต้องการ “เป็นรัฐบาล” เพื่อประคองสถานะอำนาจรัฐไว้ให้ได้
ดังนั้นนาทีนี้ หากให้สรุปสถานการณ์เท่าที่เป็นเป็นอยู่สามารถประเมินรัฐบาลผสมหลังเลือกตั้ง น่าจะเป็นการช่วงชิงกันสองขั้ว คือพรรคประชาชนกับ ภูมิใจไทย เพียงแต่ว่า ฝ่ายหลังน่าจะได้เปรียบหลายขุม ด้วยเงื่อนไขหลายอย่างดังกล่าวข้างต้น ส่วนพรรค “ตัวแปร” ยังถือว่า เพื่อไทย มีน้ำหนักมากที่สุด โดยมี “กล้าธรรม” มีน้ำหนักตามมา !!


