ศาลรธน.ตีตกคำร้อง "สุรเชษฐ์" ขอวินิจฉัยปมกระบวนการเลือก"สุชาติ"นั่งปธ.ป.ป.ช.-การวินิจฉัยเรื่องที่ถูกร้อง ชี้มองถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ ใช้สิทธิ์ยื่นฟ้องศาลอื่นได้
วันนี้ (18ธ.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ร้อง ขอให้ศาล ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า การดำเนินกระบวนการและมีมติเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. ของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ผู้ถูกร้องที่ 2 นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ ผู้ถูกร้องที่ 3 นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ถูกร้องที่ 4 นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ผู้ถูกร้องที่ 5 นายประภาส คงเอียด ผู้ถูกร้องที่ 6 นายวิทยา อาคมพิทักษ์ ผู้ถูกร้องที่ 7 และนางสุวณา สุวรรณจูฑะ ผู้ถูกร้องที่ 8ไม่เป็นไปตามหลักทั่วไปของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้อง ความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และการกระทำของนายสุชาติ ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ถูกร้องที่ 1 ในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ร้องถูกกล่าวหา เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 32
โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบปรากฏว่า ผู้ร้องโต้แย้งการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งแปดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการและมีมติเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 14 วรรคสาม และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ร้องถูกกล่าวหาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25วรรคสาม เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213


