เมืองไทย 360 องศา
หลายคนเริ่มมีการประเมินตรงกันว่าโอกาสที่จะมีการยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานข้างหน้านี้ เนื่องจากได้เห็นสัญญาณบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเข้าสู่การโหวตในวาระที่ 2 และ 3 ภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยมีคนแนะให้จับตา วันที่ 11 ธันวาคม ที่สภาจะมีการโหวต วาระที่ 2 จากนั้น วันที่ 12 ธันวาคม เป็นวันเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ ที่ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เคยขู่เอาไว้ว่า อาจมีการยุบสภาในวันดังกล่าว หากพรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล
แม้ว่าเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พรรคเพื่อไทย โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะแสดงท่าทีชัดเจนว่า ยังไม่มีความคิดในการยื่นญัตติ “ซักฟอก” รัฐบาลก็ตาม โดยอ้างว่าสถานการณ์ยังไม่เหมาะสม และยังไม่บอกว่าจะยื่นในช่วงไหนกันแน่
“การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาคุยในนาทีนี้ กระบวนการตรวจสอบของพรรคไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดและติดตามการทำงานของรัฐบาล เรื่องการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ฉะนั้นเรารวบรวมประเด็นทั้งหมดอยู่”
โดยย้ำว่า การติดตามตรวจสอบรัฐบาลไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กระบวนการพูดคุยการยื่น หรือไม่ยื่นญัตติ ในช่วงนี้ขออนุญาตยังไม่พูดคุย เพราะเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสม รัฐบาลจะต้องขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไขน้ำท่วม อยากให้เขาได้มีสติ-สมาธิ กลับไปทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้สมบูรณ์กว่านี้อย่างเต็มที่ รอฟังว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจะคืบหน้าอย่างไรค่อยมาคุยกันหลังจากนั้น
“เรื่องกระบวนการยื่นซักฟอกเป็นการตรวจสอบไม่มีเหตุใดๆ ที่รัฐบาลจะต้องยุบสภาเพื่อหนีการซักฟอก เพราะฉะนั้นหากพรรคเพื่อไทยยื่น รัฐบาลก็มีหน้าที่ในการตอบเท่านั้น สภามีหน้าที่ในการตัดสินใจรับรองให้ดำเนินการในฐานะ ภารกิจรัฐบาลต่อหรือไม่ เป็นไปตามกลไกและไม่มีเหตุใดที่จะมาอ้าง และหนีจากกระบวนการในการตรวจสอบ ผมมองว่าคนที่พูดเช่นนั้นอาจไม่เข้าใจกลไกตามระบบประชาธิปไตยจึงได้พูดคำนี้ออกมา”
แน่นอนว่า หากให้ประเมินคำพูดและท่าทีดังกล่าวจากพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายค้าน ในความหมายก็คือ “ยังไม่กล้า” ยื่นญัตติซักฟอกในช่วงเวลานี้ ทางหนึ่งเกรงว่าจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ “แท้งคาสภา” นั่นคือ ต้องตกไปด้วย แม้ว่าพรรคเพื่อไทย อาจจะไม่ใช่มีความเอาจริงเอาจังมากนักกับเรื่องนี้ หากเทียบกับพรรคประชาชน ที่หวัง “หมกเม็ด” บางอย่างซ่อนเอาไว้ แต่หากแก้ไขได้สำเร็จพวกเขาก็อาจร่วมเคลมไปด้วย เพราะจะว่าไปแล้วหากสำรวจความเห็นของชาวบ้านทั่วไปแล้ว ยังรู้สึกเฉยๆ กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือ เวลานี้หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ เสียงวิจารณ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทย ดังมากขึ้นในเรื่องของความล้มเหลว การบริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ สารพัด จนทำให้ “เรตติ้ง” ตกลงไป ตรงกันข้ามกับก่อนหน้านี้ ที่มาแรงมาก ดังนั้นหากให้คาดเดาแล้ว พรรคเพื่อไทยคงเห็นว่าสมควรปล่อยให้ทอดเวลาไปอีกระยะหนึ่งคาดหวังว่าในช่วงมาตรการเยียวยา จะต้องเกิดปัญหาให้วิจารณ์ตามมาอีก
และเหตุผลถัดมาก็คือ “ความไม่พร้อม” ของพรรคเพื่อไทยเอง สำหรับลงสนามเลือกในช่วงนี้ เพราะมีการสังเกตกันว่าพวกเขายังหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคยังไม่ได้เลย และที่มีการ “หยั่งกระแส” ก่อนหน้านี้ก็ถือว่า “ยังไม่ปัง” ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้จึงยังไม่ยื่นซักฟอก จนต้องเป็นสาเหตุให้นายกรัฐมนตรี อ้างเป็นเหตุผลยุบสภา
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีในวันที่ 12 ธ.ค. 68 นี้จะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองใช่หรือไม่ ว่า “คาดเข็มขัดนิรภัย”
เมื่อถามว่า แต่ขณะนี้พรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณว่าจะไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วใช่หรือไม่ นายกฯ ยกมือขึ้นมาโบกปฏิเสธ ก่อนตอบว่า ตนยังไม่ได้คุย แต่เรายังทำงานทุกวัน เผชิญเหตุได้ทุกสถานการณ์
ถามว่าหากไม่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หมายความว่ารัฐบาลจะอยู่ถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 69 ก็แล้วกัน
เมื่อถามย้ำว่าแต่หากพรรคเพื่อไทย มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้ามา นายกฯ กล่าวว่า หากยื่นเข้ามาก็เป็นไปตามกระบวนการ กระบวนการเป็นอย่างไรก็ว่ากันไปตามรัฐธรรมนูญและขั้นตอน
เมื่อพิจารณาจากท่าทีของพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ที่ถือว่า “ถอยกรูด” ไปแล้ว จนเชื่อว่าอย่างน้อยหากมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาล คงไม่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้แน่ แต่หากมีการยื่นญัตติเข้ามาจริง มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดขึ้นหลังการลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามไปแล้ว ซึ่งจะรัฐสภา มีกำหนดลงมติกันในวันที่ 26 ธันวาคม ดังนั้น ภายในปลายเดือนนี้ก็ถือว่ามีความเป็นไปได้สูง ที่จะมีการยุบสภาเหมือนกัน เนื่องจากเงื่อนไขทุกอย่างน่าจะครบถ้วนแล้ว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เด็ดขาดก็คือ การยุบสภาอาจเกิดจากความต้องการของฝ่ายรัฐบาลโดยตรงนั่นเอง เพราะหากมองในมุมอีกราวสัปดาห์ หรือสองสัปดาห์ข้างหน้า มาตรการเยียวยา ฟื้นฟู น่าจะเริ่มเห็นผล การรับเงินเยียวยา ก็มีการเร่งรัดกันอย่างเร็ว อีกทั้งในเวลานี้ การโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการที่เกี่ยวข้องล้วนออกมาแทบครบถ้วนหมดแล้ว ถือว่ามีความพร้อมแล้ว เพราะยิ่งยืดออกไป มันก็มีความเสี่ยงที่จะพลาดแบบ “ตกม้าตาย” ถึงตอนนั้นคงกู้คืนไม่ทัน อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามคงไม่ปล่อยมือแน่ ดังนั้น ถึงได้บอกว่าให้ “คาดเข็มขัดนิรภัย” เอาไว้ เพราะช่วงตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม เป็นต้นไปมันอันตรายจริงๆ !!


