เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดพรรคเพื่อไทย ก็มีท่าทีชัดเจนมากขึ้นสำหรับการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ออกไปก่อน แม้ว่ายังไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะยื่นเมื่อไหร่ แต่การที่ นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคอ้างว่า ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะพูดกันเรื่องนี้ ประมาณว่าต้องรอให้รัฐบาลดำเนินการในเรื่องเยียวยาประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเสียก่อน
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ตอบคำถามถึงรายงานข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หลังวันที่ 11 ธันวาคม ว่า เป็นข่าวที่ไม่มีกระบวนการออกจากพรรค การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาคุยในนาทีนี้ กระบวนการตรวจสอบของพรรคไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด และติดตามการทำงานของรัฐบาล เรื่องการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ฉะนั้นเรารวบรวมประเด็นทั้งหมดอยู่
“การติดตามตรวจสอบรัฐบาลไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กระบวนการพูดคุยการยื่น หรือไม่ยื่นญัตติ ในช่วงนี้ขออนุญาตยังไม่พูดคุย เพราะเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสม รัฐบาลจะต้องขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไขน้ำท่วม อยากให้เขาได้มีสติ-สมาธิ กลับไปทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้สมบูรณ์กว่านี้อย่างเต็มที่ รอฟังว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจะคืบหน้าอย่างไรค่อยมาคุยกันหลังจากนั้น”
ถามว่า หากพรรคพท. ยื่นซักฟอกเป็นเหตุให้รัฐบาลยุบสภา จะไม่สามารถเยียวยาดูแลประชาชนที่ประสบผลกระทบจากน้ำท่วมได้ ใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า หากเป็นนักการเมืองที่อยู่ในระบบประชาธิปไตย และมีประสบการณ์ทำงานด้านการบริหารจะไม่พูดในลักษณะนี้ออกมา เพราะไม่ใช่เรื่องการโยนความผิดใส่คนอื่นเป็นความล้มเหลวของตน
“เรื่องกระบวนการยื่นซักฟอกเป็นการตรวจสอบไม่มีเหตุใดๆ ที่รัฐบาลจะต้องยุบสภาเพื่อหนีการซักฟอก เพราะฉะนั้นหากพรรคเพื่อไทยยื่น รัฐบาลก็มีหน้าที่ในการตอบเท่านั้น สภามีหน้าที่ในการตัดสินใจรับรองให้ดำเนินการในฐานะ ภารกิจรัฐบาลต่อหรือไม่ เป็นไปตามกลไกและไม่มีเหตุใดที่จะมาอ้าง และหนีจากกระบวนการในการตรวจสอบ ผมมองว่าคนที่พูดเช่นนั้นอาจไม่เข้าใจกลไกตามระบบประชาธิปไตยจึงได้พูดคำนี้ออกมา”
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นในช่วงเวลาเดียวกันยังมีวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสอง และสาม โดยกำลังจะมีการเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 ในวันที่10-11 ธันวาคม จากนั้นวันที่ 12 ธันวาคม จะมีการเปิดสภาสมัยสามัญ ขณะเดียวกันวันที่ 26 ธันวาคม รัฐสภาก็จะมีการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่สาม นั่นคือไทม์ไลน์ ที่กำหนดเอาไว้แล้ว
ถามว่าเวลานี้ถือว่าสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ กำลังกลายเป็นวาระแทรกซ้อนเข้ามาแบบคาดไม่ถึง แน่นอนว่ากรณีดังกล่าว แม้ว่าโดยรวมแล้วยังไม่มีผลบวกทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย แต่อย่างน้อยก็ทำให้พรรคภูมิใจไทยถูกกระทบในทางลบแบบไม่คาดฝัน โดยเฉพาะอาจส่งผลกระทบไปถึงความเชื่อมั่นศรัทธาไปทั่วประเทศ อย่างน้อยคงมั่นใจว่าคง “กระชากเรตติ้ง” ลงมาบ้าง ทั้งพรรคภูมิใจไทย และนายอนุทิน ชาญวีระกูล ในฐานะผู้นำที่บริหารงานผิดพลาด ที่คาดว่าต้องส่งผลต่อความมั่นใจของประชาชนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี หากมีการอธิบายเหตุผลที่มองว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงได้เลื่อนการ “ยื่นซักฟอก” รัฐบาล นายอนุทิน ออกไป อย่างน้อยก็เชื่อว่า ต้องเกิดขึ้นหลังวันลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสามคือ หลังวันที่ 26 ธันวาคม โดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่คาดการณ์โดยยกสามทฤษฎีมาประกอบ คือ
1. การยุบสภาจะไม่เกิดขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม อย่างแน่นอน แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ตาม เพราะพรรคประชาชนจะไม่มีทางร่วมลงมติ ด้วยเหตุมีวาระสาม ของรัฐธรรมนูญที่ต้องรักษาไว้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะไม่ยื่นอภิปรายให้เสียเปล่า
2. การลงมติวาระที่สาม ในวันที่ 26 จะผ่านหรือไม่ผ่าน ตัวชี้ขาดอยู่ที่วุฒิสภา เหตุผลในการชี้ขาดคือ หน้าตาการออกแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านการแปรญัตติในวาระที่สอง เอื้อฝ่ายใด ถ้ารับได้ก็ผ่านให้ ถ้าเอื้อบางฝ่าย ทำให้ฝ่ายตนเสียเปรียบก็จะคว่ำ ดังนั้น ผลวาระที่สาม จึงอาจเป็นได้ทั้งหัว และก้อย
3. หลังการอภิปรายวาระที่สาม ในวันที่ 26 ธันวาคม 2568 พรรคเพื่อไทย จึงจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที ไม่ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านวาระสามหรือไม่ เพราะนี่คือโอกาสทำคะแนนจากการอภิปรายก่อนเลือกตั้ง
เมื่อพิจารณาจากทฤษีดังกล่าวของ นายสมชัย ทำให้มองเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภา คือ หลังจากวันที่ 26 ธันวาคม หลังจากที่มีการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งในช่วงเวลานี้ มีความเป็นไปได้มากที่สุด
หากพิจารณาจากสถานการณ์และบรรยากาศยามนี้ ก็อาจพอเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยยืดเวลา หรืออีกด้านหนึ่งก็คือ เป็นการประกาศความชัดเจนมากขึ้นว่าจะไม่มีการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาลภายในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ อย่างแน่นอน เพราะหากยื่นตอนนั้นถือว่าเป็นการสร้าง “หายนะ” ให้กับพรรคเพื่อไทยมากกว่า เพราะอย่างที่รับรู้กันว่า หากฝ่ายค้าน หรือพรรคเพื่อไทย ยื่นญัตติซักฟอกวันใด นายกรัฐมนตรีก็จะยุบสภาทันที ตามที่ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้
แน่นอนว่า ผลที่ตามมาทันทีก็คือ จะเกิดสุญญากาศในเรื่องอำนาจทางกฎหมายของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นรัฐบาลรักษาการ ทำให้การจ่ายเงินเยียวยา รวมไปถึงมาตรการฟื้นฟูน้ำท่วมภาคใต้ รวมถึงนโยบายอื่นๆ จะมีปัญหาทันที ซึ่งประเด็นนี้ ถือว่าท้าทายอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านที่กำลังได้รับความเดือดร้อน พรรคเพื่อไทยต้อง “โดนอ่วม” แน่ เรียกว่าเกมอาจพลิกกลับมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน หากมีการบีบให้ยุบสภาในช่วงนี้ย่อมทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงสำคัญต้องตกไปด้วย แม้ว่าประเด็นนี้ อารมณ์ร่วมของประชาชนอาจจะไม่ได้มากมายนัก หากเทียบกับความต้องการของพวกนักการเมือง เช่น พรรคประชาชน หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยเองก็ตาม
ดังนั้น หากพิจารณากันตามนี้ก็ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไทยไม่ไว้วางใจรัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรีตาม มาตรา 151 หลังวันที่ 11 ธันวาคม ค่อนข้างแน่ ส่วนจะยื่นหลังจากนั้นหรือไม่ หรือยื่นแบบไหน แบบที่ไม่ต้องลงมติตาม มาตรา 152 รวมไปถึงจะได้ยื่นหรือไม่ เพราะหากไม่ยื่นปล่อยให้มีการโหวตรัฐธรรมนูญ วาระสามไปแล้ว ก็น่าจะมีการยุบสภาตามมาทันที แต่เอาเป็นว่านาทีนี้พรรคเพื่อไทยเลือกใช้วิธียื้อไปก่อน แต่ฉวยจังหวะตามขยี้แบบรายวัน บั่นทอนไปเรื่อยๆ !!


