‘กมธ.พิทักษ์และเทิดทูนสถาบันฯ’ ถกแผนงานปีงบ 69 ‘พล.อ.สวัสดิ์’ ตั้งเป้าปลูกฝังรักสถาบันตั้งแต่ชั้นอนุบาล หลังถูกการเมืองกัดเซาะทำลาย ห่วงยืนเคารพในโรงหนังตั้งเป้ารณรงค์เข้มปีนี้ ด้าน ‘มล.ปนัดดา’เหน็บพวกอวดเก่งแต่ขาดประสบการณ์ชีวิต อย่ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่บ้านเมืองหวงแหนรักษา ซัดมีพวกผิดมารยาทครอบงำ-ล้างสมองเด็ก ฝาก กมธ.แก้ปัญหายืนในโรงหนัง ชี้เท่ากับลบหลู่ชาติตัวเอง
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา จัดโครงการสัมมนาเรื่องการนำเสนอแผนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการ ใน กมธ.ฯ ประจำปี 2569 ประกอบด้วยคณะอนุกรรมาธิการศึกษาและเสนอแนะแนวทางด้านการสื่อสารในการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ และคณะอนุกรรมาธิการศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย กมธ.ฯ อนุกมธ. คณะที่ปรึกษา กมธ. ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม
โดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธาน กมธ.ฯ กล่าวเปิดการสัมมนา ว่า ตนมีความยินดีและคิดว่าการที่เราได้มาร่วมกันในวันนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดในการนำเสนอแผนการดำเนินงานของคณะอนุฯ ทั้ง 3 คณะที่ดำเนินงานใน กมธ. ก่อนเข้าสู่การสัมมนาในวันนี้ตนขอกล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายให้ประชาชนจำนวนมาก ตนขอส่งกำลังใจไปยังทุกครอบครัว และขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการหรืออาสาสมัครที่เร่งช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญอยากให้ทุกท่านได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ทรงติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างใกล้ชิด การพระราชทานแนวทางช่วยเหลือประชาชน ตั้งแต่การเตรียมพร้อมรับมือ การดูแลผู้ประสบภัย ตลอดจนการฟื้นฟูหลังน้ำลด ถ้า กมธ.ของเรา รวมทั้ง 3 อนุฯ ได้นำแนวทางต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ในการปฏิบัติงานก็จะทำให้งานของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวต่อว่า การสัมมนาครั้งนี้ วัตถุประสงค์ของเราหลักๆ ตนต้องการ 2 ประการ ประการแรกคือเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งหลายท่านอาจมองว่าช้าเกินไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามเราได้เตรียมการมาก่อนหน้านี้แล้วจนมาถึงการสัมมนาในวันนี้ ในเรื่องการทำงานในปีงบประมาณ 69 อยากได้ ใน 2 เรื่องคือเราจะต้องทบทวนตัวเอง 1 ปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรบ้าง สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้หรือไม่ และตัวชี้วัดเป็นอย่างไร เราใช้งบประมาณในการดำเนินการแต่ละปีไม่น้อย เรามีผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการอย่างไร ซึ่งจะได้พูดคุยกันต่อไป นอกจากการมองการทำงานที่ผ่านมาใน 1 ปีแล้ว ที่สำคัญคือการมองไปข้างหน้า ปีงบประมาณ 2569 ทั้งปี เราจะทำอะไรกันบ้าง
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่า ประการที่สองที่ตนต้องการก็คือ ตนให้ความสำคัญ เคารพ และชื่นชม ผู้ที่อยู่ในวงงานทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะอนุฯ ที่ปรึกษาอนุฯ ที่มาร่วมงานวันนี้ ในการทำงานของเรา ตนบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ช่วยเราได้มาก ไม่ใช่ กมธ.เราไร้ความสามารถ แต่ด้วยภารกิจงานโดยเฉพาะใน กมธ.ชุดนี้ ซึ่งมีภารกิจอื่นด้วย คณะทำงานจึงมีความสำคัญ ทั้งนี้ตนให้ความสำคัญกับการสื่อสาร เรามี 3 อนุฯ การสื่อสารในการพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน และการเร่งรัดมาตรการในการพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน ตนให้เป็นการดำเนินการตามเดิมทั้งหมด ซึ่งคณะกมธ.ในชุดที่ผ่านมาทำไว้ดีแล้ว ก็ให้ดำเนินการตามนั้นไป โดยเน้นย้ำในเรื่องการสื่อสารมากขึ้น
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในปัจจุบันสถาบันฯ ถูกกัดเซาะบ่อนทำลาย ซึ่งเราทราบดีอยู่แล้ว ตั้งแต่ระดับอุดมศึกษาลงมาจนถึงมัธยมศึกษา ตนพูดแค่นี้พวกเราคงนึกออกว่ามันคืออะไร ดังนั้นตนอยากให้ทำตั้งแต่ระดับอนุบาลขึ้นไป ซึ่งตนมองเหมือนผ้าขาว ตนเป็นเด็กบ้านนอก ซึ่งเราอาจจะอายที่จะไหว้พ่อแม่ แต่เมื่อเข้าโรงเรียนครูบอกให้ไหว้ก็ไหว้ สามารถที่ดัดไปทางไหนก็ได้ เช่นเดียวกันในการที่จะรักษาพิทักษ์เทิดทูนสถาบันฯ ให้ไว้ได้ยืนยาวมันต้องเริ่มตั้งแต่เด็กๆ ระดับมัธยม ถึงมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่ตนมั่นใจว่าเราต้องเริ่มตั้งแต่เมล็ดพันธุ์แรก โดยครูอนุบาลต้องเป็นตัวหลัก เสาหลัก เข้าห้องเรียนทุกคนต้องยกมือไหว้ในหลวง ราชินี เป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องปลูกฝัง อะไรเล็กๆ น้อยๆ ตามวัย พอถึงระดับประถม มัธยม ก็ให้รู้มากขึ้นในเรื่องอื่นๆ
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามปีที่แล้วทั้งปีตนไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่อยากได้ ปีนี้ยังตั้งเป้าให้สมปรารถนา ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องการยืนเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ในโรงภาพยนตร์ ตนพยายามจะทำให้ดีที่สุด แต่ปีที่แล้วทั้งปีไม่มีความคืบหน้า ในหลายๆ เรื่องที่อยากจะทำไม่มีความคืบหน้า แต่เป็นเรื่องโชคดีที่คณะทำงานต่างๆ ช่วยกัน ทั้งนี้เราจะมีการประเมินผลตัวเอง ปีนี้ความชัดเจนอยากให้เพิ่มมากขึ้นตรงนี้ สำหรับที่ปรึกษาหรือคนในวงการที่มาช่วยงานต้องขอบคุณท่านมาด้วยใจและมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ภารกิจของกมธ.สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
ขณะที่ มล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษา กมธ.ฯ กล่าวว่าบรรยายในหัวข้อ “บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะศูนย์รวมจิตใจ ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย” ตอนหนึ่งโดยได้เปิดคลิปสั้นรายการโทรทัศน์ ในชื่อเรื่อง “แม่ฟ้าแห่งแผ่นดิน” ซึ่งเป็นรายการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นด้วยกับคลิปดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยมล.ปนัดดา กล่าวว่า คลิปดังกล่าวมียอดคนเข้าชมและเห็นด้วยจำนวนมาก ดังนั้นไม่ต้องคำนึงอะไรมากคนที่จะมาปรับเปลี่ยนประเพณีของชาติบ้านเมือง ทำเป็นอวดเก่ง รู้ดี ตนคิดว่าบุคคลเหล่านี้ขาดประสบการณ์ชีวิต อยากเรียนว่าไม่ต้องไปปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ชาติบ้านเมืองเขาทะนุถนอมหวงแหนรักษามา จรรโลงมา จนประเทศไทยเป็นประเทศไทยมาได้ตราบจนวันนี้ คงไม่ต้องมาพึ่งใครที่เพิ่งมาเกิดในรุ่นหลัง แล้วก็อวดเก่งเหลือเกิน ไอ้โน่นฉันก็จะทำ ไอ้นี่ฉันก็จะคิด แล้วอะไรที่เป็นวันเก่าๆ เป็นเรื่องเชยล้าสมัย
มล.ปนัดดา กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือวันนี้และวันข้างหน้า ซึ่งตามจริงแล้วท่านก็ทราบว่าตามหลักปรัชญาของตะวันตก หรือตะวันออกก็ดี เขาพูดว่าเรามีวันนี้ได้ก็ด้วยอดีตด้วยวันวาน ที่บุพการีชน บรรพชนได้สั่งสม และสร้างแบบอย่างไว้ ให้ชาติประเทศเกิดความสำเร็จบริบูรณ์เรียบร้อยได้ในวันนี้ก็ด้วยวันวาน ดังนั้นวันนี้ก็ใช้หลักคิด นวัตกรรมเหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าให้เราร่วมกับสืบสาน รักษา และต่อยอดก็คือความหมายว่า ครู อาจารย์ บุพการี องค์พระมหากษัตริยาธิราช บุคคลต่างๆ ที่มีพระคุณต่อบ้านเมืองไทย สั่งสอนเราไว้สั่งสมเป็นแบบอย่างไว้ เราจึงมีหน้าที่สืบสาน รักษาให้ดำรงอยู่ และใช้ความรู้ ความคิด เข้าใจ นวัตกรรมต่างๆ เข้ามาผสมผสานพัฒนาไปสู่ข้างหน้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก
“นี่เล่นพูดว่าอดีตไม่สำคัญ และมาเน้นกับความคิดของคนรุ่นใหม่ และท่านก็อ้างถึงบุคคลต่างๆ ในคณะผู้ก่อการ 2475 โดยที่ตัวท่านเองก็ไม่ทัน คุณพ่อ คุณแม่ท่านก็ไม่รู้จัก ผมในฐานะวิทยากรในวันนี้ผมยังรู้จัก ผมยังทันท่านด้วย ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงศ์ ซึ่งเคารพสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พูดกับผมเองในช่วงบั้นปลายชีวิตท่าน บอกคุณปนัดดาก็ทราบ ตอนนั้นจบกันมาจากเมืองนอกเมืองนา ความคิดร้อนแรงกัน อยากจะปรับโน่นเปลี่ยนนี่ก็เลยกลายเป็นชิงสุกก่อนห่าม เคยรู้เรื่องกันไหมนี่ คนที่พูดจาไปเที่ยวครอบงำความคิดเด็กๆ อยากจะใช้คำว่าล้างสมอง แต่ใช้คำว่าครอบงำ เด็กเกิดความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนทั้งๆ ที่ตนเองไม่เคยรู้จัก โถ แล้วไปซื้อบ้านท่านที่ฝรั่งเศส ที่ปารีส คือแอบอ้าง ไม่ดีหรอกครับทำอะไรเช่นนี้ เขาเรียกว่าผิดมารยาท ตามหลักการที่คนไทยเชื่อมั่นและยึดถือกันมานาน ท่านๆ ผู้มีเกียรติสบายใจได้ ผมจะไม่เอ่ยชื่อใครในเชิงตำหนิ ติเตือน ผมจะพูดลอยๆ แบบนี้ เพราะว่าท่านผู้บังคับบัญชาผมที่กระทรวงมหาดไทย สอนสั่งผมตั้งแต่เด็ก ถึงการพูดในที่สาธารณะ เราทำอย่างนักการเมืองไม่ได้ที่จะใช้ถ้อยคำรุนแรงว่ากล่าวคนโน้นคนนี้ แล้วก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง ” มล.ปนัดดากล่าว
มล.ปนัดดา กล่าวต่อว่า ภาพที่นำเสนอในวันนี้คือภาพแห่งความสำนึกและความคิดถึงอย่างสุดพรรณนาที่มีต่อพระองค์ท่าน แต่หลายท่านรวมทั้งคนในรุ่นปัจจุบันไม่พูดถึงเลย ไม่รู้ว่าเอาความเข้าใจ ความคิด หรือความรู้ต่างๆ เหล่านี้ไปฝากไว้กับใคร หรือแกล้งทำเป็นลืม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 หลายท่านทราบดี เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เพื่อฟื้นฟูสถานภาพของประเทศไทย ศักยภาพของเราซึ่งเคยมีความโดดเด่นเป็นสง่ามาตั้งแต่อดีตกาล โดยเฉพาะสมัย ร. 4 ร.5 ที่รักษาชาติบ้านเมืองมา แต่คนรุ่นใหม่ลืมไปได้อย่างไร ละเลยไปได้อย่างไร กระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ต้องย้ำกับเด็ก แต่ตอนนี้จะมาปลูกฝังเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่จริงมันต้องเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยจิตสำนึกของลูกหลานและประชาชนที่จะมีความเข้าใจโดยธรรมชาติ
มล.ปนัดดา กล่าวว่า ตอนนี้เหมือนเรามาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุจริงๆ เราก็ทราบว่าในช่วงหนึ่งของบริบททางการเมืองไปล้มเลิกการศึกษาวิชาสำคัญๆ ของเรา เช่น หน้าที่พลเมือง ที่พึงจะต้องกระทำ ซึ่งข้อนี้จะอิงกับกฎหมายจารีตประเพณี ซึ่งเรามีกฎหมายหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่คนต้องเคารพและปฏิบัติ ตอนนี้ขนาดพูดกันบอกว่าที่ไม่ยืนโรงภาพยนตร์ ทางการไม่มีสิทธิ์ไปบังคับ ให้ยืนกันด้วยความสมัครใจ ท่านต้องไปฟังคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย ซึ่งมีหลายท่านที่ตนยังติดต่ออยู่ เขาบอกไม่เข้าใจว่าประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และเขาก็ทราบข่าวเรื่องความมั่นคง เขาทราบรายะละเอียด มีการยุยง ครอบงำเด็ก ซื้อตั๋วฟรี ให้เด็กดูหนังในโรงภาพยนตร์ยังไม่พอ เลี้ยงขนม เข้าร้านอาหาร อย่าไปเอ่ยชื่อร้านอาหารผิดมารยาทแย่เลย เรียกว่าเป็นโครงการที่ตนพูดมาตั้งแต่ กมธ.ฯ ชุดที่แล้ว มาจนถึงชุดนี้ เรื่องนี้ท่านโทษใคร โทษการเมือง ข้าราชการบางหน่วยงานก็ยังเคร่งครัดเข้มงวด ซึ่งตนชื่นชมมาก แต่หลายหน่วยก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ปล่อยปละ ละเลย ในสิ่งซึ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศชาติ ขนาดคณะทูตพูดแล้วคนไทยไม่รู้สึกก็คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว เรื่องการไม่ยืนในโรงหนังจึงน่าจะสอดแทรกเข้าไปในอนุฯ กมธ.ให้พิจารณาดำเนินการในปีงบ 69 ทั้งเชิงรับและเชิงรุกด้วย
“ขอฝากทุกท่านอย่าลืมเรื่องโรงภาพยนตร์ มันเหมือนเราประณามตัวเอง ดูถูกประเทศตัวเอง คนไม่ค่อยคิด คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ฉันไม่ยืน ฉันไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่คนไม่คิดว่านั่นคือการลบหลู่ดูหมิ่นประเทศชาติตนเอง ละเลยซึ่งหน้าที่พลเมือง ที่ควรจะเป็น”มล.ปนัดดา กล่าว


