กระทรวงการคลัง เวียนด่วน! 2 ฉบับ ถึงหน่วยงานรัฐภาคใต้ พื้นที่วิกฤติน้ำท่วม ถือปฏิบัติ เน้น "เงินบริจาคภาคประชาชน" ช่วยผู้ประสบอุทกภัย ทุกขั้นตอน ย้ำ! รับมาแล้วต้องจ่ายทั้งหมด หากเหลือให้ตกเป็นรายได้แผ่นดิน ระบุหากไม่มีความพร้อมให้จัดส่งเข้า "กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี" บริหารแทน อีกฉบับ บช. เปิดช่องจัดซื้อจัดจ้าง ไม่จำกัดแค่ 500,000 บาท ให้ใช้วิธีเฉพาะเจาะจง ไม่ต้องทำข้อตกลงเป็นหนังสือ ดำเนินการไปก่อนขออนุมัติทีหลัง
วันนี้ (27 พ.ย. 2568) มีรายงานจากระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เวียนหนังสือด่วนที่สุด ถึง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ส่งถึง ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด อธิการบดี เลขาธิการ ผู้อํานวยการ ผู้บัญชาการ หน่วยงานของรัฐ ในพื้นที่ประสบอุทกภัย
โดยเฉพาะ กรณีประชาชนทั่วประเทศ ได้มีการบริจาคเงินผ่านส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้นํามาใช้ในการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งส่วนราชการที่รับเงินบริจาคดังกล่าวต้องถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ทางราชการ พ.ศ. 2526
ให้หน่วยราชการในพื้นที่ ถือปฏิบัติสําหรับส่วนราชการหรือจังหวัดที่รับเงินบริจาค โดย
1. เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือธนาคารพาณิชย์ ประเภทออมทรัพย์ เพื่อใช้ในการรับเงินและเก็บรักษาเงินบริจาค
เมื่อมีการรับเงินแล้วให้ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาค สําหรับกรณีที่มีผู้บริจาคเงิน แต่ไม่ระบุชื่อ ให้ระบุในใบเสร็จรับเงินว่า “ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม”
สําหรับกรณี ส่วนราชการหรือจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ มีความจําเป็น ต้องมีเงินสดไว้เพื่อสํารองจ่าย ให้เป็นอํานาจของหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ว่าราชการจังหวัดในการกําหนดวงเงินได้
2. การใช้จ่ายเงินบริจาค ให้นําไปใช้จ่ายได้ในกรณีดังนี้
2.1 กรณีส่วนราชการหรือจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ เป็นผู้รับเงินบริจาคให้นําไปใช้จ่ายได้เฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ตามความจําเป็น เหมาะสม และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค
2.2 กรณีส่วนราชการหรือจังหวัดที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ เป็นผู้รับเงินบริจาค หากมีความพร้อมทางด้านกําลังคน เครื่องมือและอุปกรณ์
สําหรับการให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนมีความประสงค์ ที่จะดําเนินการให้ความช่วยเหลือจังหวัดที่ประสบอุทกภัยภาคใต้โดยตรง
"ให้ใช้จ่ายเงินบริจาคดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ตามความจําเป็น เหมาะสม และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของผู้บริจาค"
แต่หากไม่มีความพร้อมที่จะดําเนินการให้ความช่วยเหลือจังหวัดที่ประสบอุทกภัยภาคใต้โดยตรง ให้นําเงินบริจาคดังกล่าว ส่งให้ส่วนราชการ หรือจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้
หรือส่งให้กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นําไปใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคต่อไป
3. วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการพัสดุให้ถือปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) ๐๔๐๕.๒/ว ๔๓๗ ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568
4. วิธีปฏิบัติในการบัญชี ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการโดยอนุโลม
5. เมื่อดําเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้เสร็จสิ้นแล้ว ให้นําเงินบริจาคที่เหลือและดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่เกิดขึ้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป
6. ให้หัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด มอบหมายผู้ตรวจสอบภายในตรวจสอบ การใช้จ่ายเงินบริจาคให้ถูกต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเงินบริจาคและตามที่กระทรวงการคลังกําหนดดังกล่าวข้างต้น
มีรายงานด้วยว่า สำหรับ วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการพัสดุให้ถือปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยฯ ที่ กระทรวงการคลัง ส่งถึงส่วนราชการก่อนหน้านั้น
โดยมีหลักการที่น่าสนใจ เช่น สําหรับหน่วยงานของรัฐที่ต้องดําเนินการจัดการแก้ไขปัญหาอุทกภัย หรือช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ประสบภัย รวมทั้งการป้องกันปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น ให้ดําเนินการ เช่น
การจัดซื้อจัดจ้างสําหรับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยหรือช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ประสบอุทกภัย รวมทั้งการป้องกันปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ให้ทุกวงเงินถือเป็นกรณีจําเป็นเร่งด่วน
"จึงยกเว้นการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกําหนดวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ "โดยวิธีเฉพาะเจาะจง" วงเงินการจัดซื้อจัดจ้าง ครั้งหนึ่งเกิน 500,000 บาท ที่ไม่ทําข้อตกลงเป็นหนังสือ และวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างในการแต่งตั้งผู้ตรวจรับพัสดุ พ.ศ. 2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ที่เกี่ยวข้อง"
โดยให้ดําเนินการตามข้อ 79 วรรคสอง แห่งระเบียบฯ และให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่รับผิดชอบในการปฏิบัติงานนั้น
"ให้ดําเนินการไปก่อน แล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ และเมื่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นหลักฐานในการตรวจรับโดยอนุโลม เป็นต้น".


