เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน รัฐบาลก็ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดสงขลา เพื่อรับมือกับปัญหาอุทกภัย เนื่องจากสถานการณ์อยู่ในขั้นร้ายแรงในภาคใต้ โดยมอบหมายให้ พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นผู้อำนวยการสถานการณ์ อย่างไรก็ดีก็ยังมีคำถามเกิดขึ้นตามมาว่าจะไปซ้ำซ้อนกับการทำงานของ ศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เพิ่งมีการแต่งตั้งไปก่อนหน้านี้หรือไม่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การมอบหมายให้ พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.ทสส.) เป็นผู้อำนวยการสถานการณ์ คือการบูรณาการความช่วยเหลือทั้งหมด ในการสั่งการอนุมัติคุ้มครองผู้ปฏิบัติการทุกอย่างมีความเบ็ดเสร็จอยู่ในนั้น
นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ในพื้นที่มีทุกหน่วยงานระดมช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว และเรากำลังกระจายคนเข้าไปรับพี่น้องประชาชนในทุกที่ ตอนนี้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำลังเดินทางเข้าไป และ 2 ท่านอยู่ในพื้นที่แล้ว โดย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพิ่งเดินทางไปเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การช่วยเหลือไม่ได้ล่าช้า ในการปฏิบัติมันไม่ได้ล่าช้า และไม่ได้ติดขัด ทำงานกันอย่างเต็มที่ ในช่วงที่มีการเกิดเหตุใหม่ ทุกคนต้องกระจายกำลัง กระจายทรัพยากรคน ลงไปช่วยเหลือชีวิตเรื่องความปลอดภัย ให้กับพี่น้องประชาชนเป็นลำดับแรกก่อน ตอนนี้เมื่อเราทราบปัญหาหลาย ๆ เรื่องแล้ว เราถึงมาเร่งจัดตั้งกองบัญชาการทั้งส่วนหน้า ส่วนสนับสนุน และใช้ พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉิน ในการกำกับดูแล และจะมีการตั้งทีมโฆษกศูนย์อำนวยการสถานการณ์ขึ้นมา ทำหน้าที่แถลงเหตุการณ์ในแต่ละวัน เหมือนกับช่วงโควิด-19
ถามว่า สรุปแล้วอำนาจในการตัดสินใจสถานการณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ต้องเป็นของ ผบ.ทสส หรือของ ร้อยเอกเอกธรรมนัส พรมเผ่า ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) นายอนุทิน กล่าวว่า ร้อยเอกธรรมนัส ในตอนนี้คือในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ถ้าไปเจอหน้างานแล้วต้อง ใช้อำนาจ ก็สั่งการได้ ทำในฐานะรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลก็คือนายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนสั่งการ ตนเองก็บอกแล้วว่ารัฐมนตรีทุกคนสั่งการเหมือนนายกรัฐมนตรี ก็ช่วยกันสั่งการไป ไม่ใช่อำนาจอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนที่อยู่หน้างาน สามารถที่จะสั่งการได้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป้าหมายคือความปลอดภัยของประชาชน ส่วนของ ผบ.ทสส คือการทำบูรณาการร่วมกับทุกหน่วย ก็จะรวบรวมสถานการณ์ทั้งหมดมา และจัดความรับผิดชอบไปตามหน่วยงานต่าง ๆ
ก่อนหน้านั้นเมื่อ เวลา 9.45 น.ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำจังหวัดภาคใต้ โอกาสนี้ พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ได้เข้าร่วมประชุมด้วย
ก่อนเริ่มการประชุม พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ ได้อัญเชิญพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำเรียนนายกรัฐมนตรีและส่วนเกี่ยวข้อง ต่อความห่วงใยของพระองค์ท่านที่มีต่อประชาชน ที่กำลังประสบภัยเหตุการณ์น้ำท่วมอยู่ขณะนี้ และทรงมีรับสั่งพระราชทานความช่วยเหลือให้กับประชาชนที่เดือดร้อน และให้ระดมสรรพกำลัง ทั้งหมดทั้งฝ่ายพลเรือน ทหาร ตำรวจ และหน่วยราชการต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของเรือช่วยราษฎรในพื้นที่ประสบภัย โดยให้รับออกมาจากพื้นที่อันตราย มาส่งในพื้นที่ที่เตรียมการความปลอดภัยไว้ เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งปัจจัยด้านอาหารและน้ำ ก็จะพระราชทานความช่วยเหลือ ซึ่งต้องอาศัยการระดมสรรพกำลังของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกระทรวงมหาดไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการดูแลประชาชนให้ได้รับความปลอดภัย ซึ่งต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าเหตุการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสงขลา และทั่วภาคใต้คราวนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสจริงๆ โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลา ที่อำเภอหาดใหญ่ ถือว่ารุนแรงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งปริมาณฝนที่ก่อนหน้านี้ทางกรมชลประทานยังเคยบอกว่าหนักที่สุดในรอบสามร้อยปีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันในจังหวัดอื่นทั้ง นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง และเวลานี้กำลังเกิดฝนตกหนักในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนปริมาณน้ำฝนสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังคาดว่าฝนยังตก “หนักมาก” ต่อเนื่องไปอีก 3-4 วันเลยทีเดียวกัน
จากการรายงานสถานการณ์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย(ปภ.) พื้นที่ภาคใต้ ยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กินพื้นที่ 98 อำเภอ 643 ตำบล 4,688 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 798,695 ครัวเรือน 2,196,758 คน และมีผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย (นครศรีธรรมราช 6 ราย ปัตตานี 3 ราย ยะลา 2 ราย พัทลุง 2 ราย)
แน่นอนว่านี่คือเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแบบร้ายแรงในภาคใต้ในแบบที่หนักหนาสาหัสในรอบหลายสิบปี ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาการระดมความช่วยเหลือ หรือการช่วยเหลือย่อมเกิดขึ้นมากมายและหลากหลาย จนบางครั้งบางพื้นที่มีการช่วยเหลือแบบกระจุกตัว แต่บางพื้นที่กลับไม่มีการช่วยเหลือ หรือเข้าไม่ถึง ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี จนบางครั้งเกิดความซ้ำซ้อน แต่ถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจได้ หากมองว่าทุกฝ่ายต้องการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันแม้ว่าบางครั้งความโกลาหลดังกล่าวจะเกิดจากพวกบรรดานักการเมืองที่อาศัยโอกาสทองแบบนี้ “หาเสียง” แอบแฝงไปด้วย ซึ่งก็รู้กัน รู้ทันกันดี แต่คงไม่ว่ากัน เอาเป็นว่า ช่วยกันบริหารจัดการ ประสานงานกันให้ดีก็แล้วกัน
ขณะเดียวกันเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่คราวนี้เป็นการพิสูจน์ “ภาวะผู้นำ” และการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินของ นายอนุทิน ชาญวีระกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าจะจัดการได้ดีเพียงใด อย่าลืมว่าสถานการณ์ “สร้างวีรบุรุษ” แต่อีกด้านหนึ่งสถานการณ์ก็สามารถ “ทำลาย” ได้ในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้ การประสานงาน อำนาจในการสั่งการต้องไม่มีความสับสน ซ้ำซ้อน และที่สำคัญต้องจัดการได้จริงและทันเวลา !!


