ป.ป.ช.ชี้มูล “สุรเดช” อดีตรองเลขาธิการ สกสค.ร่ำรวยผิดปกติ 13.9 ล้าน หลังพบทุจริตโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค.เอาเงินเข้าบัญชีธนาคารตัวเอง
วันนี้ (12 พ.ย.) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายสุรเดช พรหมโชติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 13,916,451 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ปรากฏว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2555-2558 ขณะที่ นายสุรเดช ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้ทุจริตเงินกองทุนสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ที่นำไปร่วม ลงทุนในโครงการพลังงานไฟฟ้าขยะชุมชนกับบริษัทเอกชน และมีการฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารของตนเอง เป็นจำนวนมาก โดย นายสุรเดช และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2555-2558 รวมจำนวน 7,252,347.54 บาท แต่มีทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถ ชี้แจงแหล่งที่มาได้ จำนวน 26 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,916,451 บาท ดังนี้ 1. เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อบัญชี นายสุรเดช พรหมโชติ จำนวน 19 รายการ รวมเป็นเงิน 8,956,866 บาท
2. เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ (รพ. รามาธิบดี) ชื่อบัญชี นายสุรเดช พรหมโชติ จำนวน 7 รายการ รวมเป็นเงิน 4,959,585 บาท ซึ่ง ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่านายสุรเดช ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาก ผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจ ในตำแหน่งหน้าที่ รวมเป็นเงินจำนวน 13,916,451 บาท จึงให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน และให้แจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออก โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินตามที่ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของ แผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลาสิบปี ตามมาตรา125 ของกฎหมายเดียวกัน


