เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดพรรคประชาชนก็แสดงท่าทีออกมาชัดเจนแล้วว่า พวกเขาจะไม่ร่วมลงชื่อกับพรรคเพื่อไทยในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ หรือ “ซักฟอก” รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยอ้างว่ายังไม่มีเหตุผลและน้ำหนักเพียงพอ ทำให้หลายคนเริ่มมีคำถามว่า สาเหตุที่มีท่าทีแบบนี้เนื่องจากเกรงว่าจะมีการชิงยุบสภาก่อน และทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคประชาชนตั้งความหวังเอาไว้ต้องล่มไปด้วยหรือเปล่า
คำพูดของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน สะท้อนท่าทีดังกล่าวได้ดี เมื่อกล่าวถึงกรณีการยื่นอภิปรายไว้วางใจว่า ในกระบวนการตรวจสอบรัฐบาลสามารถทำได้หลายทาง ทุกวันนี้เราก็ทำหน้าที่ในการตรวจสอบทุกวัน โดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเราคิดว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการกำกับพรรคภูมิใจไทยให้ปฏิบัติตาม MOA แต่ไม่ปฏิเสธว่าถ้ามีเรื่องร้ายแรง ที่เราไม่สามารถให้รัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นแกนนำบริหารประเทศต่อไปได้อีกแม้แต่วันเดียว เราไม่ลังเลใจที่จะยื่นแน่นอน แม้จะเท่ากับว่า MOA จะสูญเปล่า
แต่จนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่พบข้อมูลที่คิดว่าร้ายแรงสุดๆ จริงๆ ที่เราอยากกระทุ้งให้รัฐบาลแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือทำอะไรบางอย่าง เราได้พยายามผลักดันในทุกวิถีทางด้วยกลไกที่เรามีอยู่แล้ว ถ้าจะมีพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงร่วมกันเกิน 1 ใน 5 ของสมาชิกสภา ไปยื่นเราคงห้ามไม่ได้ เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านเหมือนกัน ก็คงต้องมาคุยกันว่าจะยื่นเมื่อไหร่
ถามว่า เรื่องทุนเทาที่มีการเปิดประเด็นออกมายังไม่ร้ายแรงอีกใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องรอ Reaction ว่ารัฐบาลจะมีการปฏิบัติอย่างไรในเรื่องนี้ ซึ่งเรายังให้เวลาว่าจะแก้ไขอย่างไรต่อไป จะมีการปลดหรือเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันหรือไม่ หรือมีข้อมูลข้อเท็จจริงอะไรที่นำมาใช้เป็นเบาะแส ในการแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ เราก็ยินดีรอ ว่ามีการกระทำอะไรเกิดขึ้น ในส่วนอื่นๆ เราคิดว่าแอ็กชั่นของรัฐบาลเรื่องการแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ ก็เป็นไปตามแนวทางที่พรรคประชาชนได้นำเสนอต่อประชาชน แม้จะช้าไปหน่อย ทั้งในการประกาศตัวว่าจะเป็นเจ้าภาพและประกาศสงคราม รวมถึงตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมา เราก็ยังเห็นว่าค่อนข้างช้า ต้องกระทุ้งรัฐบาลต่อไป ให้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้ง ไม่ใช่แค่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แต่น่าจะเป็นการร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์ในสมัยใหม่ รวมถึงแสวงหาความร่วมมือกับนานาชาติที่เจอปัญหาเดียวกับประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยุบสภาแล้วว่าจะกระทบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้ารัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ แล้วมีการยุบสภาฯก็ตกไปเลย ก็จบก็เลือกตั้ง อย่างมากที่สุดในการเลือกตั้งก็จะมีการตั้งคำถามประชามติเรื่องประชาชนเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ พร้อมกับการเลือกตั้ง เพราะถ้าไม่มีร่างรัฐธรรมนูญ จะเอาไปให้ประชาชนเห็นชอบได้อย่างไร
สำหรับความเคลื่อนไหวสำหรับการยื่นซักฟอกรัฐบาลนั้น ก่อนหน้านี้พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคเพื่อไทย ได้แสดงท่าทีว่าจะยื่นญัตติดังกล่าวภายในสมัยประชุมหน้า ที่จะมีขึ้นในราววันที่ 12 ธันวาคม และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้เคยขู่เอาไว้ว่า หากมีการยื่นซักฟอกรัฐบาลจริง เขาก็จะชิงยุบสภาก่อน วันที่ 31 มกราคม ปีหน้า เพราะ “ไม่ต้องการให้ถูกด่าฟรี”
นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว่า การยื่นญัตติ เช่น มาตรา 151 คือการตรวจสอบรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องด่า หรือไม่ด่า พวกตนตรวจสอบ เพราะเป็นฝ่ายค้าน และเมื่อใครเป็นฝ่ายค้านกระบวนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เป็นเรื่องปกติ ตามระบบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นอยากให้รัฐบาลมองว่า เป็นเรื่องการตรวจสอบเป็นการตรวจการบ้านและหากมองว่าประพฤติถูกต้อง ไม่มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เรื่องที่เขาว่ากันว่าปัดเป่า ทั้งคดี ฮั้วสว. เขากระโดง ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่ต้องห่วง
ถ้าอภิปรายไปแล้วยังเป็นหนังเรื่องเก่า เนื้อเรื่องเก่า ก็เป็นความเสียหายของฝ่ายค้าน ที่จะดำเนินการในการอภิปราย และเป็นเวทีเปิดสภาไม่ใช่พูดแค่ฝั่งเดียว พวกตนอภิปรายได้ท่าน ก็สามารถตอบได้หากตอบได้เคลียร์ ตอบได้ชัด ก็เป็นโอกาสของรัฐบาลในการชี้แจงทำความเข้าใจ ไม่ใช่แค่กับสภาเท่านั้น แต่กับประชาชนชาวบ้านที่ได้ฟังด้วย อย่างไรก็ดีเขายังไม่ได้กำหนดว่าจะยื่นญัตติเมื่อใด เนื่องจากต้องพอประชุมหารือกันก่อน
แน่นอนว่าหากมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเกิดขึ้นเมื่อใด และประธานสภา ได้รับญัตติเข้าสู่วาระเมื่อนั้นตามกฎหมายแล้ว นายกรัฐมนตรีจะไม่อาจชิงยุบสภาหนีไปได้ อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้ว หากพบการเคลื่อนไหวก่อนการยื่นญัตติ เชื่อว่า นายกรัฐมนตรีต้องชิงยุบสภาไปก่อนอย่างแน่นอน ตามที่อ้างก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ยอมให้ใครได้ “ด่าฟรี” นั่นแหละ
สำหรับฝ่ายรัฐบาล หรือนายอนุทิน แล้ว การถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจถือว่าเป็นหายนะของพวกเขา เนื่องจากเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และแม้ว่าการยื่นญัตติซักฟอกคราวนี้หากเป็นการลงชื่อของพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว โดยที่ไม่มีพรรคประชาชนเข้าร่วม ก็สามารถทำได้ เพราะพรรคเพื่อไทยมีเสียงเพียงพออยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี มันก็ยังไม่มีความชัวร์อยู่ดี แม้ว่าพรรคประชาชน ยังไม่มีท่าทีว่าจะร่วมอภิปรายและลงมติ แต่เพื่อประกันความเสี่ยงที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกคว่ำในสภา เขาก็คงต้องชิงยุบสภาเสียก่อน
แต่ขณะเดียวกันสำหรับพรรคประชาชน งานนี้ถือว่า “ขาดทุน” ย่อยยับ นาทีนี้ เหมือนกับว่าถูก นายอนุทิน จับเอาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นตัวประกัน จน “ไม่กล้าขยับตัว” เพราะหากเกิดการยุบสภา ก็เหมือนกับที่รู้กันก็คือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การ “ยกร่างใหม่” ที่พรรคประชาชนมีความหมกมุ่น ผลักดันให้สำเร็จ ก็ต้องถูกคว่ำลงไปพร้อมกันด้วย ทำให้พวกเขาไม่มีผลงานจะไปประกาศกับบรรดา “ด้อม” ทั้งหลาย ในสนามเลือกตั้ง รวมไปถึงจะสร้างบันใดหรือปูทางไปสู่การแก้ไขกฎหมายฉบับอื่น เพื่อปรับโครงสร้างประเทศแบบรื้อใหญ่ ก็พังครืนไปด้วย
ดังนั้น นาทีนี้สำหรับพรรคประชาชน เหมือนกับว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก ขยับตัวมากไม่ได้ เพราะ “รัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน” ทำให้เวลานี้ต้องทำหน้าที่กลายเป็น “ฝ่ายค้ำ” ให้กับ “อนุทิน” ไปโดยปริยาย หากมีการยุบสภาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็คว่ำไปด้วย ทำให้ต้องประคองให้รัฐบาลอยู่ครบกำหนด หรือให้ร่างแก้ไขผ่านวาระสามให้ได้เสียก่อน แต่เมื่อพิจารณาจากสัญญาณแล้วเริ่มเห็นแวววิบากชัดเจนขึ้นทุกทีแล้ว !!


