xs
xsm
sm
md
lg

“ฮุนเซน”หน้ามืด แผนร้ายเบี่ยงเบนชาวโลก !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล - ฮุนเซน
เมืองไทย 360 องศา

รับรู้กันแล้วว่า เวลานี้ “ระบอบฮุนเซน” ที่มี นายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เป็นหัวเรือใหญ่ กำลังถูก “โลกล้อมกรอบ” เข้ามาจนแทบจนมุมทุกขณะแล้ว จากการที่ถูกระบุว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยพวก “สแกมเมอร์” แก๊งฟอกเงิน ค้ามนุษย์สารพัด

ล่าสุดกำลังถูกหลายชาติรุมกินโต๊ะ ทั้งเกาหลีใต้ ที่หลังจากนักศึกษาคนหนึ่งถูกฆ่าตายอย่างทารุณ พวกเขาก็ไม่ทน ส่งรองรัฐมนตรีต่างประเทศคนที่สองพร้อมคณะทั้งฝ่ายตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง ความมั่นคงชุดใหญ่ไปกดดันรัฐบาลกัมพูชา ให้จัดการแก้ปัญหา ขณะเดียวกันก็มีคำเตือนถึงความไม่ปลอดภัยและห้ามพลเมืองของตัวเองงดเดินทางในหลายพื้นที่ที่ระบุว่าเป็นพื้นที่อันตราย

กรณีของเกาหลีใต้ถือว่ากระทบกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างหนัก เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเคยเดินทางไปกัมพูชาปีละกว่าสองแสนคน พร้อมทั้งมีความช่วยเหลือนับหมื่นล้านบาท และเวลานี้ทั้งนักท่องเที่ยวก็ระงับการเดินทาง หรือเปลี่ยนไปเที่ยวประเทศอื่นแล้ว ขณะที่ความช่วยเหลือ ก็ถูกระงับไปแล้วเช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ ยังมีผลกระทบจากทางการสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ยึดและอายัดทรัพย์สิน ระงับทำธุรกรรมการเงินกับ นายเฉินจื้อ นักธุรกิจสัญชาติกัมพูชาเชื้อสายจีน ที่เป็นนายทุนผู้สนับสนุน นายฮุนเซน ขณะเดียวกันยังขึ้นแบล็กลิสต์ เครือข่ายคนใกล้ชิด และเครือญาติของผู้นำกัมพูชาอีกจำนวนมาก

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมทำลายภาพลักษณ์ และเครดิตของกัมพูชาอย่างยับเยิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานมาก ดังนั้นผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นกับกัมพูชาในระยะถัดไปก็คือ ทางด้านการท่องเที่ยว การลงทุน จะเกิดผลกระทบในทางลบอย่างไม่ต้องสงสัย

เหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในกัมพูชาเวลานี้ จะว่าไปแล้วได้เกิดมานานแล้ว ภาพของ“ทุนสีเทา” ทุนสีดำ สำหรับในสายตาของคนไทยมองเห็นมาตั้งนานแล้ว แต่ที่ผ่านมาด้วยความสัมพันธ์ที่แนบชิดกันกับ “ระบอบทักษิณ” ทุกอย่างเลยมีการบิดเบือน และปิดบังมาตลอด เพิ่งมีการเปิดโปงกันเองจากกรณี “คลิปลับอังเคิล” เมื่อไม่กี่เดือนก่อน

ดังนั้น หากประมวลจากสถานการณ์ในตอนนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานระบบเศรษฐกิจของกัมพูชาจะประสบปัญหาอย่างหนัก รวมไปถึงความเสี่ยงของ “ระบอบฮุนเซน” ที่มีสองพ่อลูก นายฮุนเซน และ ฮุนมาเน็ต เป็นผู้นำก็มีความเสี่ยงที่จะล่มสลายสูงมากตามไปด้วย และที่สำคัญเวลานี้สายตาชาวโลกกำลังจ้องมอง ตำหนิไปที่กัมพูชา เหมือนกับ “โลกกำลังล้อมฮุนเซน” นั่นแหละ

ลักษณะเมือนกับว่าเขากำลังถูก “คีมเหล็กบีบ” แน่นเข้าไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี สำหรับ นายฮุนเซน แล้ว หากพิจารณาจาก “แบ็กกราวด์” แล้ว ย่อมไม่ธรรมดา เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ในอำนาจเบ็กเสร็จมานานกว่า 30 ปี ดังนั้นต้องจับตามองว่าเขากำลังจะ “เบี่ยงเบนความสนใจ” ชาวโลกไปอีกทางหนึ่งหรือไม่ เหมือนกับก่อนหน้าที่รัฐบาลลูกชายของเขา คือ ฮุน มาเนต ที่ถือว่าบารมียังไม่ถึงขั้น ผลงานในฐานะผู้นำรัฐบาล ก็ยังไม่เป็นที่เข้าตาประชาชน ทำให้ถูกว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาสร้างสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ปลุกกระแสชาตินิยมสร้างกระแสพิพาทกับไทยอยู่ในเวลานี้

ล่าสุด กำลังมีการจับตากันว่า นายฮุนเซน จะใช้วิธีการแบบเดิมนั่นคือ ปลุกกระแสชาตินิยมเข้มข้นตามแนวชายแดนอีกครั้ง หรือไม่

สังเกตได้จากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กเพจสำนักข่าว SBM News ของกัมพูชาได้โพสต์ข้อความว่า “ถึงเวลาที่กัมพูชาต้องสู้กลับ! สมเด็จฮุนเซน ประกาศว่า จะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป หากไทยกล้าละเมิดกัมพูชาอีกครั้ง และ “ในวันนี้ (16 ต.ค.) สถานการณ์เลวร้ายอาจเกิดขึ้น” เราจะเผยแพร่วิดีโอคำปราศรัยโดยตรงของท่านสมเด็จฮุนเซน ในเร็วๆ นี้” อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ข้อความที่โพสต์ดังกล่าวถูกลบออกไปแล้ว

จากนั้น วันที่ 17 ต.ค. นายเพ็ญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ได้อ่านแถลงการณ์ว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 สื่อมวลชนไทยบางสำนัก ได้อ้างอิงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ทหารไทยที่ยืนยันว่า “พื้นที่ที่ทหารไทยบุกรุกนั้นเป็นดินแดนของไทย” โดยอ้างถึงหมู่บ้านเปรยจัน และหมู่บ้านโจกเจย ตำบลโอไบชัน อำเภอโอวโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งกองทัพไทยได้วางลวดหนามฝ่ายเดียว ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2568 และต่อมาได้ใช้รถปรับพื้นดินรื้อถอนพื้นที่ดังกล่าวและปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิด

โฆษกรัฐบาลกัมพูชาขอย้ำว่า เขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทยเป็นเขตแดนระหว่างประเทศตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ซึ่งรวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และเสาหลักเขตแดนที่ได้รับการยอมรับ 74 หลัก ซึ่งติดตั้งมานานกว่าศตวรรษ เส้นแบ่งเขตแดนนี้ยังคงมีผลทางกฎหมายและได้รับการคุ้มครองภายใต้บทบัญญัติของกฎบัตรสหประชาชาติ รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงฝ่ายเดียว

โฆษกรัฐบาลย้ำว่า คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงระหว่างกัมพูชาและไทย มีอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและกำหนดเขตแดนของทั้งสองประเทศ จนกว่า JBC จะดำเนินงานสำรวจและกำหนดเขตแดนเสร็จสิ้น กัมพูชามุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ด้วยสันติวิธีโดยอิงตามสนธิสัญญา ข้อตกลงทวิภาคีที่มีอยู่ และกฎหมายระหว่างประเทศ กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยเคารพข้อตกลงเหล่านี้ และให้ทั้งสองฝ่ายรอให้ JBC แก้ไขปัญหาชายแดน รวมถึงหลีกเลี่ยงการยั่วยุใดๆ ที่อาจยกระดับความตึงเครียด

โฆษกรัฐบาลกัมพูชาขอยืนยันต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลกัมพูชายังคงยึดมั่นในจุดยืนที่มั่นคงเกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดน และไม่ยอมรับข้อเรียกร้องฝ่ายเดียวใดๆ จากกองกำลังทหารไทย เนื่องจากกองทัพบกไม่มีอำนาจในการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น คำประกาศฝ่ายเดียวของไทยดังกล่าวไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายใดๆ

“แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชา จะใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุดในการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง เพื่อป้องกันการปะทะด้วยอาวุธที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชนทั้งสองฝ่าย แต่รัฐบาลกัมพูชาขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนตามอนุสัญญา สนธิสัญญา และกฎหมายระหว่างประเทศ” แถลงการณ์โฆษกรัฐบาลกัมพูชาระบุ

ดังนั้น หากพิจารณาจากท่าทีล่าสุดของ นายฮุน เซน รัฐบาลกัมพูชา ที่พยายามสร้างความตึงเครียดตามแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ใหม่ อย่าง บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ที่ทางฝ่ายทหารไทยกำลังเคลียร์พื้นที่ ซึ่งจากท่าทีของฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะคำพูดของ นายฮุนเซน ที่ขู่ว่าจะมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น และหมดความอดทนกับไทย ซึ่งน่าสังเกตว่าท่าทีแบบนี้เหมือนกับว่าเขากำลังเบี่ยงเบนความสนใจ ที่สำคัญยังเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน มีผู้นำไทยคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้นำสหรัฐอย่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าร่วมด้วย ทำให้น่าจับตาว่า นี่คือ “แผนร้าย” หรือเปล่า !!


กำลังโหลดความคิดเห็น