xs
xsm
sm
md
lg

ตอบ 6 ประเด็น ดึงสติพวกกอด MOU43-44

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดร.วิศรุต สำลีอ่อน ตอบข้อกังวลพวกกอด MOU43-44 อ้างสารพัดไม่อยากให้ยกเลิก ชี้ไทยมีสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศที่จะยกเลิก MOU 43/44 เพื่อไม่ให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ไปมากกว่านี้ ยันไม่กระทบความน่าเชื่อถือ และไม่เปิดช่องให้กัมพูชาใช้ ICJ เล่นงาน

ดร.วิศรุต สำลีอ่อน อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เขียนบทความเรื่อง “ตอบข้อกังวลต่อการยกเลิก MOU 43/44” แสดงความเห็นต่อข้อกังวลเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) 43/44 ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประเด็นสรุปได้ดังนี้

1.หากยกเลิก MOU 43/44 ไป การเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชาจะไม่มีความชัดเจน

2.การยกเลิกฝ่ายเดียวอาจถือเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ

3.หากไทยยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ อาจทำให้ประเทศไทยถูกวิจารณ์ว่า “ฉีกสัญญา” ทำให้ไทยไม่น่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ

4.หากยกเลิก MOU 43/44 อาจทำให้ทั้งสองประเทศไม่มีกรอบที่ยอมรับร่วมกันอีกต่อไปในอนาคตทำให้การเจรจาต้องเริ่มจากศูนย์และอาจเสียเปรียบในกระบวนการเจรจาต่อไป

5.MOU (โดยเฉพาะ MOU 44)ควรใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาเรื่องทรัพยากร การยกเลิกจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการมีส่วนแบ่งในทรัพยากร

6.การยกเลิก MOU อาจเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำเรื่องไปยื่นต่อศาลระหว่างประเทศ หรืออาจกลายเป็นข้ออ้างให้สหประชาชาติหรือประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงได้

ดร.วิศรุต ให้ความเห็นว่า ประเด็นนี้ต้องมองอย่างมีเหตุผลตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมชี้ให้เห็นว่าการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับมิได้เป็นการ “ฉีกสัญญา” หากมีเหตุผลและฐานทางกฎหมายรองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ประเทศไทยถูกละเมิดสิทธิตามสนธิสัญญาก่อน

ดร.วิศรุตกล่าวว่า เหตุการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทหารและพลเรือน รวมถึงการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายไทยตกเป็นผู้ถูกละเมิดก่อน ทั้งการโจมตีเป้าหมายพลเรือน การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการรุกล้ำพื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย แม้จะมีการตกลงหยุดยิงตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่แสดงความจริงใจในการกลับสู่โต๊ะเจรจา ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากเห็นว่าควรยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ

สำหรับข้อกังวลที่ 1 ที่ว่าการยกเลิก MOU จะทำให้ไทยเสียกรอบการเจรจา ดร.วิศรุตชี้ว่า ก่อนมี MOU 43/44 ทั้งสองประเทศก็เคยจัดตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมและดำเนินการเจรจามาแล้วตั้งแต่ปี 2540 ดังนั้น หากยกเลิกข้อตกลงปัจจุบันก็สามารถจัดตั้งคณะกรรมการใหม่ที่ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายได้เสมอ ขณะเดียวกัน MOU ทั้งสองฉบับกลับกลายเป็นเครื่องมือที่กัมพูชาใช้รุกล้ำพื้นที่ทางบกและแสวงหาผลประโยชน์ทางทะเลเกินส่วน ซึ่งสะท้อนว่า MOU ดังกล่าวล้มเหลวในการเป็นกรอบเจรจาที่แท้จริง

ในประเด็นข้อกังวัลที่ 2 การยกเลิกฝ่ายเดียวอาจละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ดร.วิศรุตอธิบายว่า หลักการยกเลิกสนธิสัญญามีบัญญัติไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 (VCLT) ซึ่งอนุญาตให้คู่สัญญายกเลิกได้หากอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การที่ไทยยกเลิก MOU 43 จึงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐานว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดก่อน ส่วน MOU 44 ยังไม่มีพฤติการณ์ละเมิดร้ายแรง แต่สามารถพิจารณาในบริบททางการเมืองและผลประโยชน์แห่งชาติได้

สำหรับข้อกังวลที่ 3 ไทยอาจถูกมองว่า “ฉีกสัญญา” นั้น ดร.วิศรุตยืนยันว่า หากไทยมีเหตุผลและหลักกฎหมายรองรับ การยกเลิกไม่ถือเป็นการผิดข้อตกลง แต่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ

ส่วนข้อกังวลที่ 4 ที่อ้างว่าหากยกเลิก MOU 43/44 อาจทำให้ทั้งสองประเทศไม่มีกรอบที่ยอมรับร่วมกันอีก นั้น ดร.วิศรุต เห็นว่า ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์พบว่า MOU ทั้งสองฉบับเป็นใบเบิกทางให้กัมพูชาใช้ประโยชน์ในการรุกล้ำพื้นที่ทางบก และแสวงหาประโยชน์ในพื้นที่ทางทะเลเกินส่วนอันพึงได้ของตนเอง แม้เราจะใช้เวลามากกว่า 25 ปีในการเจรจาแต่สุดท้ายยังก็เกิดเหตุปะทะ MOU ทั้งสองฉบับจึงล้มเหลวในการเป็นกรอบการเจรจา และยังมีปัญหาในรายละเอียดมากมาย การเริ่มใหม่แม้จะเจ็บปวด แต่ตราบใดที่ผลประโยชน์ของประเทศชาติยังไม่เสียไปมากกว่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ควรทำ

ดร.วิศรุตยังตอบโต้ข้อห่วงกังวลที่ 5 ที่ว่าการยกเลิก MOU 44 จะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแบ่งปันทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยชี้ว่า MOU 44 เริ่มต้นจากเส้นแบ่งไหล่ทวีปที่กัมพูชากำหนดขึ้นฝ่ายเดียวในลักษณะ “เห็นแก่ตัว” ไม่สอดคล้องกับหลักเส้นมัธยะตามอนุสัญญากฎหมายทะเลสากล (UNCLOS) ดังนั้น พื้นที่ทับซ้อนที่ปรากฏอยู่จึงไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่ต้น และทรัพยากรทางทะเลในเขตดังกล่าวควรอยู่ภายใต้สิทธิของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว
ในส่วนของข้อกังวลที่ 6 ที่ว่ากัมพูชาอาจนำเรื่องไปฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือให้สหประชาชาติแทรกแซง

ดร.วิศรุตชี้ว่า ศาล ICJ จะมีอำนาจพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายยอมรับเขตอำนาจศาล ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลนี้มาตั้งแต่ปี 2503 เช่นเดียวกับกว่า 100 ประเทศทั่วโลก กัมพูชาจึงไม่สามารถนำไทยขึ้นศาลได้ อีกทั้ง “ความเห็นแนะนำ” (Advisory Opinion) ที่ ICJ อาจออกให้ก็ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เป็นเพียงข้อเสนอเชิงการเมืองเท่านั้น
นอกจากนี้ ดร.วิศรุตยังชี้ว่า สหประชาชาติไม่มีสิทธิเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของรัฐตามข้อ 2(7) ของกฎบัตรสหประชาชาติ เว้นแต่จะเกิดสถานการณ์รุกรานหรือภัยต่อสันติภาพ ซึ่งในกรณีไทย–กัมพูชา หากเกิดการปะทะจากการรุกล้ำของกัมพูชา ไทยสามารถใช้สิทธิป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรฯ ได้โดยชอบ ทั้งนี้ หาก UN เข้ามาก็จะเป็นเพียงการผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจา ไม่ใช่การบังคับใด ๆ

ส่วนกรณีประเทศที่สามเข้ามาเป็นคนกลางนั้น ดร.วิศรุตระบุว่า การเจรจาระหว่างรัฐจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายสมัครใจ ดังนั้น หากไทยไม่ยินยอม ก็ไม่มีประเทศใดเข้ามาแทรกแซงได้

ท้ายที่สุด ดร.วิศรุตย้ำว่า การใช้กฎหมายระหว่างประเทศในทางปฏิบัตินั้นซับซ้อนกว่าทฤษฎีในชั้นเรียนหลายเท่า เพราะต้องคำนึงถึงมิติการเมืองและผลประโยชน์ของประเทศชาติ การตัดสินใจเรื่อง MOU 43/44 จึงต้องตั้งอยู่บนหลักผลประโยชน์สูงสุดของชาติ โดยใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศไทย ไม่ใช่เป็นกรอบจำกัดที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลก.

อ่านบทความฉบับเต็ม “ตอบข้อกังวลต่อการยกเลิก MOU 43/44”


กำลังโหลดความคิดเห็น