ตอกย้ำ! ร่างผังเมืองรวมเมืองนครปฐม ฉบับใหม่ หลังฉบับปัจจุบัน “หมดอายุ" กว่า 3 ปี อนุโลมใช้ ฉ.ปี 2531 บังคับไปพลางก่อน “ยธ." รับข้อสังเกต 6 ประเด็น จากบอร์ดพิจารณาร่างกฎหมายฯ มท. ตรวจสอบความถูกต้อง หาปัญหาอุปสรรค ยกข้อเปรียบเทียบการพัฒนาเมืองปริมณฑล กับ จ.ปทุมธานี เหตุสภาพการณ์ปัจจุบัน ปทุมธานี “พัฒนาเมืองดีกว่า" แนะหาแนวทางรองรับการขยายตัวของเมือง หลังพื้นที่จังหวัดมี “มอเตอร์เวย์" 2 เส้นทาง ยกบรรจุมาตรการแก้ “กลิ่นขี้หมู" กระทบชุมชน ในแผนผังเมืองรวมฉบับใหม่
วันนี้ (13 ต.ค.) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยธ.) กระทรวงมหาดไทย ได้นำร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวม พ.ศ.. ในหลายพื้นที่ เข้าขอหารือกับ ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฏหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะที่ 2
โดยพบว่า มีร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวม หลายฉบับที่น่าสนใจ เช่น ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองนครปฐม พ.ศ. ...
ที่มีการปิดประกาศ จนถึง 24 เม.ย. 2566 เมื่อครบกําหนดปิดประกาศปรากฏว่าไม่มีผู้มีส่วนได้เสีย ยื่นคําร้องและได้นําเสนอคณะกรรมการผังเมือง และเห็นชอบโดย นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัด มท.
โดยคณะกรรมการชุดนี้ ให้ข้อสังเกต กรณีตามร่างประกาศฯ เนื่องจากให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองนครปฐม ใช้บังคับฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ. 2531 และปัจจุบันผังเมืองรวมเมืองนครปฐมฉบับดังกล่าว ได้หมดอายุลงแล้ว
ทั้งนี้ จ.นครปฐม ได้อนุโลมนําผังเมืองรวมจังหวัดนครปฐม มาใช้บังคับไปพลางก่อนนั้น ซึ่งหากพิจารณากรณีดังกล่าวเห็นว่า ตามประกาศฯ พ.ศ. 2531 เป็นการดําเนินการตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518
ซึ่งปัจจุบันพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ กรณีจึงมีประเด็นว่า
1. เนื่องจากระยะเวลา ได้ล่วงเลยมาพอสมควร ยธ.จึงควรศึกษาวิเคราะห์ถึงสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือความต่อเนื่องของสภาพสังคม การวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย เพื่อนําไปสู่การปรับปรุงเพื่อให้การดําเนินการ จัดทําร่างประกาศฯ หรือไม่อย่างไร
2. เมื่อพิจารณาขั้นตอนการจัดทําร่างประกาศฯ ยธ. ได้ดําเนินการวางและจัดทําผังเมืองรวมเมืองนครปฐม เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2561 โดยผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผังเมือง เมื่อ 22 มิ.ย. 2566
และเสนอคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาในปี พ.ศ. 2568 กรณีจึงมีประเด็นว่า
“ในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ. 2566 ถึง ปี พ.ศ. 2568 มีปัญหาอุปสรรค หรือไม่ อย่างไร"
3. เมื่อเปรียบเทียบ จังหวัดนครปฐมและจังหวัดปทุมธานี ซึ่งทั้งสองจังหวัด ถือเป็นปริมณฑลเช่นเดียวกัน แต่สภาพการณ์ปัจจุบัน เห็นได้ว่า จังหวัดปทุมธานี มีการ “พัฒนาเมืองดีกว่า" จังหวัดนครปฐม
กรณีจึงมีประเด็นต้องพิจารณาว่า เกิดปัญหาอุปสรรคในส่วนของข้อกําหนดทางด้านกฎหมายของการจัดทํา ผังเมือง หรือไม่ อย่างไร
4. ปัจจุบัน จังหวัดนครปฐม มีการพัฒนาเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ มีถนนมอร์เตอร์เวย์ จากจังหวัดนครปฐม ถึงจังหวัดกาญจนบุรี และมอร์เตอร์เวย์ จากจังหวัดนครปฐม ถึงอําเภอชะอํา จังหวัดเพชรบุรี
ซึ่งในการพัฒนาเมืองที่เป็นไปอย่างรวดเร็วนั้น จังหวัดนครปฐม มีแนวคิด แนวทางรองรับการขยายของเมืองนครปฐม หรือไม่ อย่างไร
5. เนื่องจากพื้นที่ของจังหวัดนครปฐม ยังคงเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เช่น การเลี้ยงสุกร จํานวนมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะประสบปัญหาเรื่อง “กลิ่นรบกวนจากการปศุสัตว์" ที่ส่งผลต่อสุขอนามัยของประชาชนในพื้นที่
ในกรณีนี้จังหวัดนครปฐมมีแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือข้อกําหนด ในการจัดการพื้นที่อย่างไร เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสุกร ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนครปฐม
“จึงควรมีมาตรการเพื่อไม่ให้กลิ่นที่เกิดจากการปศุสัตว์ส่งผลต่อสุขอนามัยในชุมชน แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดนครปฐม"
นอกจากนี้ คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายฯ มท. ยังเห็น ควรให้เพิ่มเติม ร่างประกาศฯ ข้อ 11 วรรคสี่ กําหนดให้ “ที่ดินประเภทนี้ ห้ามใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อกิจการตามที่กําหนดดังต่อไปนี้
(4) สถานสงเคราะห์หรือรับเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจน ในการใช้บังคับกฎหมาย เห็นควรเพิ่มเติมข้อความและแก้ไขเป็น
(5) สถานสงเคราะห์หรือรับเลี้ยงสัตว์ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ โดยให้ ยธ. ตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
ทั้งนี้ ยังให้ ยธ. ตรวจสอบความถูกต้อง ข้อกําหนดให้ “ที่ดินประเภท ที่ห้ามใช้ ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการตาม
“สถานที่เก็บวัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุมีพิษ โดยให้ตรวจสอบถ้อยคําเกี่ยวกับสถานที่เก็บวัตถุระเบิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2590 และถ้อยคํา “กับวัตถุอันตราย ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หรือวัตถุกัมมันตรังสี"
ตรวจสอบความถูกต้อง “การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภท (1) ให้มีอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นของอาคารทุกหลังต่อพื้นที่แปลงที่ดินที่ใช้ เป็นที่ตั้งอาคารไม่เกิน 4 : 1
ทั้งนี้ ที่ดินแปลงใดที่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว หากมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ตาม อัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมกันทุกขั้นของอาคารทุกหลังต่อพื้นที่แปลงที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคารของที่ดิน แปลงที่เกิดจากการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนทั้งหมดรวมกันต้องไม่เกิน 4 : 1”
ซึ่งอัตราส่วน 4 : 1 นี้ เป็นการกําหนด อัตราส่วนพื้นที่ก่อนการแบ่งแยก หรือภายหลังการแบ่งแยก.