xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ปาฐกถายกระดับอุตสาหกรรม-การค้า-ลงทุน ขอบคุณยุค “อิ๊งค์” สู้กำแพงภาษีสหรัฐฯ ย้ำรัฐบาลต้องเข็มแข็ง ช่วยเหลือกลุ่มทุนแต่ไม่ให้ทุนชี้นำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อนุทิน” โชว์ปาฐกถา “ยกระดับอุตสาหกรรม-การค้า การลงทุน ให้ยั่งยืน” แนะ โลกเปลี่ยน ต้องปรับตัว เป็นทางรอด ยัน รัฐบาล หนุนผู้ประกอบ ดึงรายได้เข้าประเทศ ขอบคุณรัฐบาล “อิ๊งค์” ต่อสู้กำแพงภาษีสหรัฐฯ ชี้ รัฐบาลต้องเข็มแข็ง ช่วนเหลือกลุ่มทุน แต่ไม่ให้กลุ่มทุนชี้นำ

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 3 ต.ค.ที่ เพลนารีฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในเวทีสัมมนา Sustainability Expo 2025 A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry หัวข้อ “ยกระดับอุตสาหกรรม-การค้า-การลงทุนสู่ความยั่งยืน”


นายอนุทิน กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ร่วมในงานนี้ เราอยู่ในยุคที่เรียกว่าความยั่งยืนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติก็ใช้คำนี้เป็นตัวดันกติกาใหม่ของโลก แต่อีกหลายคนยังไม่เข้าใจความหมายของความยั่งยืนอย่างลึกซึ้ง จึงต้องขอบคุณงานนี้ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราต้องมองและคิดให้เกิดความยั่งยืน เช่น รัฐบาล มีควิกวินการทำงานในช่วง4 เดือน แต่ไม่ได้ทำแค่4เดือน ต้องทำให้เป็นเพื่อให้เกิดความยั่งยืนเพื่อรัฐบาลต่อไปจะนำไปต่อยอดดำเนินการต่อไป โดยไม่ล้มเลิกและไปคิดเรื่องใหม่ พอไปถึงอีกจุดก็ถูกรัฐบาลใหม่ล้มเลิกอีก แบบนี้ จะทำให้คำว่ายั่งยืนไม่มีความหมายใดๆ

นายอนุทิน กล่าวว่า งานวันนี้จะทำให้เกิดความความเข้าใจและความแรงร่วมใจที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านการค้า อุตสาหกรรม ให้เป็นรูปธรรม เพราะโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามภัยการค้า การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงมีคำถามว่าเราจะพาประเทศไทยไปทางไหน ซึ่งคำตอบของตนคือต้องพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืนของพวกเรา ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอด และไม่ใช่แค่ทำโลกสีเขียว หรือสิ่งแวดล้อม แม้จะสำคัญแต่ยังไม่ครบทุกมิติ ประเทศไทยและทุกประเทศต้องยึดหลักเติบโตอย่างยั่งยืน คือ เศรษฐกิจมั่นคง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เมื่อมีความมั่นคงก็จะสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดีมีสุข มีรายได้ มีเงินใช้และเงินออม รักษาสังคมและรักษาโลก ให้ลูกหลานอยู่ได้โดยมีสุขภาวะที่ดี ขณะที่ตัวเราจะไม่ถูกทอดทิ้งและมีคนดูแล ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือตัวเอง โดยไม่เป็นภาระของผู้อื่น


นายกฯ กล่าวว่า สังคมไทย ต้องปรับเปลี่ยนในหลายมิติ ให้เกิดความอยู่รอดด้วยการมีคุณภาพชีวิตที่ดี บางคนอาจจะมีอายุยืนได้ถึง 90 ปี และช่วงอายุที่เกษียณราชการ 60 ปี อาจจะขยายไปได้ถึง 65 ปี อาจต้องเปลี่ยนแปลงและอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง พร้อมกับแสดงศักยภาพในการทำงานโดยไม่ต้องลาการทำงานบ่อยครั้ง ต้องปรับเปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิต ส่วนรัฐบาลจะดูแลสุขภาพของสังคมผู้สูงอายุ ให้เกิดความมั่นคงทางสุขภาพ เช่น บัตรทอง จะต้องมีเงินสำรองไว้ดูแล ส่วนรัฐบาลต้องหาเงินเหล่านี้ด้วยการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ มีความสะดวกในการทำการค้าเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศให้มากขึ้น เพื่อจะเก็บภาษีจากตรงนี้นำไปใช้ดูแลคุณภาพชีวิต ตรงนี้จะเป็นทางรอดที่ยั่งยืนเหมาะสภาพสังคมและประเทศ

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนมาจากภาคธุรกิจเหมือนหลายคน เห็นว่าเวลานี้เราต้องมองออกไปนอกภูมิภาคอาเซียน เชื่อมระหว่างภูมิภาค ไม่ใช่แค่เก็บค่าผ่านทางแต่จะต้องสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อเราไม่มีความขัดแย้งทางศาสนาทุกคนทำงานร่วมกันได้หมด การเมืองก็มีความเป็นเสถียรภาพ และต่อให้ไม่มีเสถียรภาพ นักการเมืองทุกคนรู้ดีว่าอย่าไปแตะผู้ประกอบการที่กำลังสร้างเมือง และสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศไม่ว่าจะผ่านกี่วิกฤตการณ์ แต่การสนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจไม่เคยลดน้อยลง แต่ที่ต้องแก้คือรัฐบาลต้องมีความเป็นตัวเองมากที่สุด เพื่อจะได้ช่วยเหลือและสนับสนุนกลุ่มทุน โดยหาทางออก หามาตรการให้กลุ่มทุนแต่ต้องไม่ให้กลุ่มทุนชี้นำรัฐบาล เพื่อให้เกิดการแข่งขันได้เต็มที่ ไม่ไปติดขัดที่ใคร หากเป็นเช่นนี้เชื่อว่าสังคมการเมืองจะเปลี่ยนไป กลับมาเป็นสากลและมีธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้นเพราะจะถูกบีบจากสังคมทั้งภายในและภายนอก


นอกจากนั้นเรามีสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ มีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ปัญหาการค้าเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการเผชิญกับความผันผวน รัฐบาลแต่ละประเทศจึงคิดมาตรการเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศของเขาและอาจเป็นโทษกับประเทศคู่ค้า ดังนั้นการใช้คำว่าปรับเปลี่ยนไปตามโลก ไม่ใช่ต่อสู้ เมื่อมีมาตราด้านภาษี เราต้องคิดหาตลาดอื่นมารองรับ มองฐานการผลิตและออบชั่นเพิ่ม หากขึ้นภาษีมากและกีดกันการค้า ต้องถามกลับว่าถ้าอยากกินกุ้งถูกและอร่อย จะหาจากที่ไหน ถ้าไม่ใช่ไทย ถ้าอยากขึ้นภาษีประชาชนของประเทศนั้นๆก็เดือดร้อน ไม่ใช่เขาจะขึ้นภาษีแล้วเราเดินไปบอกเขาว่าเรายอม

“ขอชมรัฐบาลที่แล้ว ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ที่ใช้เวลาไปรับรองประเทศไทย ให้พ้นจากมาตรการภาษี 37% ขณะเวียดนามได้ 20% สุดท้ายเราได้อยู่ที่ 19%ไม่เสียอะไรเลย โดยใช้กลไกประเทศไทย ไปพูดคุยจนว่าถ้าเขาสูญเสียประเทศไทย สุดท้ายคนที่เดือดร้อนคือคนในประเทศของเขา ตัวเลขจึงลดลงมา“ นายอนุทิน กล่าว


นายกฯ กล่าวว่า ส่วนปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ทีสหรัฐฯต้องการให้เรามีข้อตกลงที่ดีต่อกันเพื่อประโยชน์ของประเทศเขา ที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งการค้า ความมั่นคง เราต้องคิดว่าถ้าอยากเลือกเงื่อนไขแบบนี้ต้องมาคุยกัน ส่วนจะทำหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเราต้องพูดด้วยว่า หากจะให้เราตัดสินใจทำตามที่เขาเสนอ จะลดภาษีให้เราได้หรือไม่ เพื่อความสงบสุขของโลก

นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความรู้กับประชาชน รับทราบถึงสังคมสีเขียว ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตด้วยคาร์บอน จะเสียเปรียบกว่าการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต เรื่องนี้รัฐบาลจะวางรากฐานให้ประชาชน มีส่วนร่วมด้วยการใช้โซล่าชุมชน และโซล่ามวลชน ซึ่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับนโยบายไปดำเนินการในชุมชนให้รวมตัวกันใช้พลังงานสะอาดวามารถขายได้เป็นเศรษฐกิจชุมชนรวมถึงจะฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งไทยเป็นประเทศเดียวที่เป็นตัวเลือกของต่างชาติที่จะเข้ามารักษาพยาบาล พร้อมกับจะจะยกระดับโรงพยาบาลและการรักษาให้เป็นระดับพรีเมี่ยม เพื่อนำรายได้ไปพัฒนาส่วนอื่นต่อ


นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ใช่ไม่มีอนาคต แม้จะชะงักเรื่องการเมืองไปบ้าง แต่การเมืองให้ว่ากันไป ส่วนคนในชาติ ต้องรักและสามัคคีต่อกัน เมื่อนั้นการเมืองจะกลับมาดูแลเองเพราะหากคนในชาติไม่ต้องการความขัดแย้ง เชื่อว่านักการเมืองก็ไม่กล้าขัดแย้ง อย่าให้นักการเมืองมานำท่านแต่ท่านต้องนำนักการเมือง และตนจะใช้เวลานี้โอกาสนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด จะทำแบบพอเพียง แต่ให้เกิดความยั่งยืนโดยปรับเปลี่ยนเพื่อพร้อมสำหรับการเปลียนแปลง จะรับฟังและสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งหลายให้ดำเนินกิจการด้วยความมั่นคงและยั่งยืนในทุกมิติ ขณะที่ผู้ประกอบการควรใช้จุดนี้เป็นเปิดโอกาส สร้างรายได้ ให้มีสิ่งแวดล้อมและประชาชนมีสุขภาพอนามัยที่ดี ย้ำว่ารัฐบาลชุดนี้พร้อมสนับสนุนทุกคนในทุกมิติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนเกิดขึ้นในประเทศ










กำลังโหลดความคิดเห็น