“นายกฯ หนู” ลั่น วปอ. ต้องมีอยู่-ต้องมีต่อไป เห็นต่างนายกฯ ในอดีต ย้ำ คอนเนกชันสำคัญ ต้องใช้ประโยชน์ให้ถูกต้อง ลั่นรัฐบาลมีเวลาไม่มาก พร้อมทำตามที่ทุกคนหวัง
วันนี้ (22 ก.ย.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะศิษย์เก่านักศึกษา วปอ. ปี 61 กล่าวว่า “ผมอนุทิน พี่หนู” วปอ.61 นกหัวขวานรายงานตัว ทำให้ผู้อยู่ในห้องประชุมเฮลั่น พร้อมกล่าวต่อว่า พี่ๆ ทั้งหลายที่อยู่ในห้องประชุมนี้กว่า 90% เรารู้จักกันมาก่อน จึงขออนุญาตพบปะทุกคน ในฐานะศิษย์เก่า วปอ. ที่ผ่านมาทุกปี วปอ. รุ่น 61 และเพราะใกล้จบการศึกษาปี 62 ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จำได้ว่า มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้มาฟังผลการแถลงการณ์การศึกษาด้วย และตนก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ขึ้นมาแถลงผลการศึกษา ก็เหมือนกับที่นักเรียน 7-8 คน ที่ขึ้นมาแถลงไปเมื่อสักครู่นี้
สำหรับตนมองเห็นคุณค่าการเป็นนักศึกษา วปอ. อย่างมากมาย อาจจะมีมุมมองจากผู้นำรัฐบาลท่านอื่น เพราะถือว่าหลักสูตรนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเมื่อสักครู่ได้นั่งฟังการแถลงผลงาน ก็ให้ถือว่าวันนี้รับนโยบายจากนักศึกษา วปอ.ปี 67 และเมื่อได้รับฟังมันก็แปลก เหมือนได้ฟังเพลงพรหมลิขิต “ดลบันดาลชักพา ให้เรามาพบกันทันใด” ทำไมมันช่างเหมือนกับนโยบายตน ที่กำลังจะแถลง อาจจะต่างกันเพียงแค่ถ้อยคำที่บัญญัติไว้แต่ละเรื่องของกรอบความคิด แนวทางและยุทธศาสตร์ ตรงกับแนวทางที่เราจะแถลง จากนี้ไปเราต้องใช้หลักเชิงฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์คือจับต้องได้ เทคโนโลยีต้องทันโลกทันสมัย ทันท่วงที ไม่ใช่ล้าหลัง ซึ่ง 4 หลักการที่นักศึกษา วปอ.67 เสนอมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ทั้งหมด จึงคิดว่าอยากมาเรียนรุ่นที่ 67 เพราะคิดว่าแนวทางตรงกับแนวคิดของตน เพราะที่ผ่านมาจะเลือกเดินทางในต้องพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ และรวมเอาหลักเอนจิเนียริงที่เรียนมานำมาประกอบเพื่อความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ในนชีวิตเวลาจะวางแผนอะไร ตนจะยึดหลัก STEM ตามที่นักศึกษาว่ามาและต้องกลับเรียนตรงตรงว่า ไม่เคยพลาดเลย ดังนั้นหลักของคนที่จะโตขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ทั้งภาคข้าราชการและภาคเอกชน
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า รัฐบาลของตนที่กำลังจะเริ่มทำงาน ต้นสัปดาห์หน้าเป็นต้นไปน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้วันนี้ต้องรีบมาก่อนเพราะไม่รู้ว่าปีหน้าจะได้มาหรือเปล่า วันนี้จึงต้องมาในฐานะศิษย์เก่า โดยรุ่นปี 61 ของตนไม่มีเพียงแค่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ก็มีครบทุกเหล่าทัพ ตนจะขับเคลื่อนด้วยรัฐบมลด้วยหลัก STECCC ประกอบด้วย
Systematic- ขับเคลื่อนต้องมีระบบ
Thainess - ความเป็นเอกลักษณ์ของไทย เชื่อถือได้ ราคายุติธรรม
Exponentail - ขยายศักยภาพแบบเขย่งก้าวกระโดด เปิดช่องทางให้ไทยไปยืนบนเวทีโลกได้
Connectivity - เชื่อมต่อ สายสัมพันธ์ เงินก็ซื้อไม่ได้
Continuevity - ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
Costructive - คิดเป็นบวก คิดก้าวหน้า
“ประเทศไทยที่เราเบื่อหน่ายจะก้าวหน้าสักที ใครที่เคยดูถูกว่าพลังมวลชนไม่มีความหมาย พูดเลยว่าเปิดด่าน พูดเลยว่าเกี๊ยเซี๊ยะ พูดเลยว่ายอมเขา แล้วท่านจะรู้ว่านรกมีจริง” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า แม้ว่ารัฐบาลมีเวลาไม่มาก แต่เราจะทำให้ความคาดหวังของพวกพี่และความตั้งใจของพวกตนไปบรรจบกันที่เป้าหมาย แยกกันเดินรวมกันตี ทหารก็รบไป คิดยุทธศาสตร์ไป ตนก็หาวิธีกดดันกัน วันนี้ยอมไม่ได้บอกว่ามาถึงขนาดนี้แล้วมีแต่เราต้องไล่ตี กำหนดเงื่อนไขเชิงรุก คนที่มีปัญหากับเราต้องยอมรับ
พี่ๆ ทุกคนบอกว่าประเทศไทยได้เปรียบทุกประตูทางด้านเศรษฐกิจและแสนยานุภาพ จะให้เราไปเจรจาแล้วจะยอมก่อน เชื่อว่าพวกพี่กับตนสะกดคำพวกนี้ไม่เป็น ตนไม่อยากใช้คำว่าได้เปรียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากเรามีความพร้อมกว่าคนที่มีปัญหาด้วย เราจะต้องใช้ความพร้อมนี้สร้างคุณประโยชน์และสิ่งที่ระเทศต้องการให้มากที่สุดนับจากวันนี้เป็นต้นไปตนในนามรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และฝ่ายปกครองจะใช้แนวทางนี้ในการดำเนินยุทธศาสตร์ต่อกรกับคนที่มีปัญหาอยู่
นายอนุทิน ระบุว่า วันนี้ตนได้ พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เข้ามาช่วยงานรัฐมนตรีว่าการกละทรวงหลาโหม ซึ่งความที่เป็นรุ่นเดียวกัน กับผู้บัญชาการทหารบก และเป็นรุ่นเดียวกันกับแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน ท่านที่กำลังจะเข้ามาปฏิบัติงาน คงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการแก้ไขปัญหา ชายแดนไทย-กัมพูชา และน่าจะทำให้ความกังวลต่างๆ ของพวกเราได้คลายลงไปให้มากที่สุด ดังนั้น สรุป วปอ.ต้องมีอยู่ และต้องมีต่อไป คนที่มีประสบการณ์และคุณสมบัติอย่างพวกพี่ๆ ต้องมาอยู่ร่วมกัน และสร้างบ้านแปลงเมือง ให้เจริญก้าวหน้า อย่างไม่มีที่สิ้นสุด