xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” ถาม “รัฐบาลอนุทิน” เตรียมปรับโครงสร้างพูลก๊าซ ลดค่าครองชีพให้ประชาชนจริงหรือ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รสนา” ตั้งคำถามรัฐบาลอนุทินเตรียมปรับโครงสร้างพูลก๊าซใหม่ ลดค่าครองชีพประชาชนจริงหรือไม่ หรือแค่ทำให้ราคาหุ้นบริษัทพลังงาน-ปิโตรเคมีพุ่งสูงขึ้น เพราะต้นทุนลดฮวบ ขณะที่ประชาชนและอุตสาหกรรมอื่นยังต้องซื้อ LPG ในราคานำเข้า


วันนี้(13 ก.ย.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหนคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “รสนา โตสิตระกูล” ว่า จับตารัฐบาลอนุทิน จ่อปรับโครงสร้างพูลก๊าซใหม่ ลดค่าครองชีพประชาชนจริงหรือ?!?

โครงสร้างพูลก๊าซ คือการนำเอาราคาก๊าซจาก 3 แหล่งมารวมกันและเฉลี่ยต้นทุนกัน
1) ก๊าซจากอ่าวไทย 60% ราคา 210 บาท/ล้านบีทียู
2) ก๊าซจากพม่า 10% ราคา 324 บาทต่อล้านบีทียู
3) ก๊าซ LNG 30% ราคา 400-500 บาทต่อ ล้านบีทียู

ที่ผ่านมาโครงสร้างพูลก๊าซคือเอาราคาทั้ง 3 แหล่งมาเฉลี่ยและขายให้กับผู้ซื้อทุกรายในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม

ข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อว่ารัฐบาลอนุทินจะปรับโครงสร้างพูลก๊าซใหม่ โดยจะตัดก๊าซ LNG ราคาแพงออกจากสมการในโครงสร้างพูลก๊าซ ให้เหลือแค่ก๊าซจากอ่าวไทย และก๊าซจากพม่า ซึ่งจะทำให้ราคาเฉลี่ยของพูลก๊าซถูกลงทันที

ฟังดูดี น่าเคลิบเคลิ้ม แต่การอ้างลดค่าไฟให้ประชาชน น่าจะเป็นแค่ฉลากแปะหน้ากล่องสวยหรู หรือไม่ ?! เพราะสิ่งที่ซ่อนไว้คือ ปตท.ผู้ขายก๊าซ และบริษัทที่มีโรงไฟฟ้าจะรวยขึ้นเพราะต้นทุนเชื้อเพลิงถูกลง กำไรเยอะขึ้น? ดังที่มีข่าวว่า ปตท. และบริษัทที่มีโรงไฟฟ้าหุ้นขึ้นกระฉูด ใช่หรือไม่?!

ก๊าซจากอ่าวไทยเป็นก๊าซชั้นดีทั้งหมด 60% ไม่ได้นำมาผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ก๊าซอ่าวไทยสามารถนำมาแยกเป็นก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม และใช้เป็นวัตถุดิบของปิโตรเคมี LPG จึงเป็นก๊าซที่มีราคาแพงกว่าก๊าซมีเทน เปรียบเสมือนเป็นไม้สัก ส่วนก๊าซมีเทนเปรียบเหมือนเศษไม้ราคาถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าได้เท่านั้น ก๊าซจากพม่าก็เป็นมีเทนล้วนส่งมาตามท่อส่งก๊าซเลยมีราคาแพงกว่าก๊าซมีเทนในอ่าวไทยอยู่เล็กน้อย แต่สำหรับก๊าซ LNG เป็นมีเทนล้วนที่เป็นเศษไม้เหมือนกันแต่มีราคาแพงเท่าไม้สัก เพราะกระบวนการนำเข้ามาต้องอัดก๊าซ LNG เป็นของเหลวและบรรจุถังขนมาทางเรือ จึงเป็นก๊าซที่มีราคาแพงที่สุดทั้งที่คุณสมบัติเป็นแค่เศษไม้ในโรงไฟฟ้าเท่านั้น

ก๊าซอ่าวไทยเป็นทรัพยากรของประเทศ จึงควรให้ประชาชนได้ใช้เป็นหลักก่อนภาคส่วนอื่น โดยรัฐบาลตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้กำหนดโครงสร้างก๊าซในอ่าวไทย และบนบกให้ครัวเรือน และโรงไฟฟ้าได้ใช้ก่อน เหลือจึงให้ยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นรวมทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ใช้

ต่อมาภายหลังเมื่อมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท.เป็นบริษัท ปตท.ที่รัฐถือหุ้น 51% โครงสร้างกิจการก๊าซก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ใช้ก๊าซ LPG ในอ่าวไทยในราคาในประเทศ(ราคาถูก) ก่อนภาคครัวเรือน ส่วนคนไทยใช้ก๊าซ LPG ในประเทศเป็นก๊าซหุงต้ม กลับต้องจ่าย LPG ในราคานำเข้าจากตลาดโลก ทั้งที่ก๊าซในอ่าวไทยและบนบก เพียงพอให้ภาคครัวเรือนได้ใช้ราคาในประเทศ จึงต้องนำเอากองทุนน้ำมันมาชดเชยราคาให้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือน ทำให้กองทุนน้ำมันต้องดึงเงินจากคนใช้น้ำมันมาชดเชยก๊าซหุงต้ม และกองทุนน้ำมันมีหนี้เพราะต้องมาชดเชยราคาก๊าซหุงต้มเป็นหลัก

ส่วนก๊าซมีเทนก็มีการนำเข้า LNG มาเฉลี่ยต้นทุนในโครงสร้างพูลก๊าซ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า ทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงมีราคาแพง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้ามีราคาแพง

เมื่อรัฐบาลอนุทินจะมีรัฐมนตรีคนนอกจากอดีตซีอีโอของ ปตท. ก็มีการเผยแพร่ข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาพูลก๊าซเพื่อลดค่าไฟฟ้าโดยจะแยก ก๊าซ LNG ออกจากโครงสร้างราคาพูลก๊าซไปให้อุตสาหกรรมอื่นแบกรับต้นทุนไป เพื่อให้ราคาพูลก๊าซมีแค่ราคาจากก๊าซอ่าวไทย และก๊าซมีเทนจากพม่า จะทำให้ราคาพูลก๊าซถูกลง ทำให้ค่าไฟถูกลง เป็นการลดค่าครองชีพประชาชน

แต่ไม่มีการพูดถึงก๊าซ LPG จากก๊าซอ่าวไทยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีบางรายจะได้ประโยชน์เต็มๆ ไปด้วยในราคาถูก ใช่หรือไม่?!

กราบเรียนท่านนายกฯอนุทิน ถ้าท่านมีความจริงใจจะปรับโครงสร้างพูลก๊าซโดยมีเป้าหมายเพื่อลดค่าครองชีพประชาชน(ค่าไฟฟ้า)นั้น จะมองเพียงผลักภาระราคานำเข้า LNG ไปให้ภาคอุตสาหกรรมอื่นยกเว้นปิโตรเคมี รับไปอย่างเดียว น่าจะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะก๊าซจากอ่าวไทย 60% ไม่ได้นำมาใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว แต่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซื้อราคาในประเทศโดยผลักคนไทยไปใช้ก๊าซหุงต้มในราคาตลาดโลก จนต้องเอากองทุนน้ำมันมาชดเชย ใช่หรือไม่ ?

เพื่อความเป็นธรรมต่อประชาชนคนไทย ขอให้ท่าน อนุทินจัดการกับก๊าซอ่าวไทยบนหลักการที่ว่าคนไทยต้องได้ใช้ทรัพยากรในประเทศก่อน ดังที่รัฐบาลสมัย พล.อ.เปรม ได้วางหลักการไว้ โดยกำหนดให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ต้องซื้อ LPG ในราคานำเข้าเฉกเช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมอื่นซื้อ LNG ในราคานำเข้า จึงจะยุติธรรมต่ออุตสาหกรรมทั้งหมดที่มีความเข้มแข็งในการแบกรับต้นทุนตลาดโลกแทนประชาชน และให้ประชาชนได้ใช้ก๊าซหุงต้ม และ ต้นทุนเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ด้วยราคาในประเทศ ก็จะเป็นการลดค่าครองชีพประชาชนได้อย่างเป็นจริง

ปตท. ซึ่งรัฐถือหุ้นใหญ่ เป็นบริษัทที่ทำกิจการแยกก๊าซจากอ่าวไทยและแหล่งบนบกในประเทศทั้งหมดเป็นก๊าซ LPG และมีเทน รัฐบาลต้องกำกับให้ ปตท.ขาย LPG ให้บริษัทปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกของ ปตท. ซื้อก๊าซ LPG ไปเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในราคาตลาดโลก ไม่ใช่ซื้อในราคาในประเทศหรือราคาถูกกว่าคนอื่นอย่างที่ผ่านมา

ควรให้ ปตท. นำก๊าซ LPG ที่แยกได้จากก๊าซในอ่าวไทยและแหล่งบนบก ขายเป็นก๊าซหุงต้มในภาคครัวเรือนในราคาใกล้เคียงต้นทุนจริง ไม่ใช่ราคาตลาดโลก ส่วนก๊าซ LPG ที่เหลือจากภาคครัวเรือนสามารถขายให้แก่ภาคปิโตรเคมีได้ในราคาตลาดโลก และให้ ปตท. หักลบส่วนต่างระหว่างราคาตลาดโลกกับราคา LPG ในประเทศ แล้วส่งเงินส่วนต่างนี้ให้กับกองทุนน้ำมัน เพื่อนำไปชดเชยราคาพลังงานของประชาชน แทนที่จะล้วงกระเป๋าจากคนใช้น้ำมันไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้มของภาคครัวเรือน

เงินส่วนต่างนี้ไม่ควรเก็บไว้เป็นกำไรที่ ปตท. เพราะก๊าซจากอ่าวไทยเป็นทรัพยากรของประชาชนทั้งประเทศ จึงต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

ส่วนก๊าซมีเทนที่ได้จากการแยกก๊าซในอ่าวไทยและพม่าควรขายให้กับ กฟผ.เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในกิจการผลิตไฟที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศก่อน จะทำให้ค่าไฟของคนทั้งประเทศถูกลงได้จริง

การที่รัฐมนตรีพลังงานคนนอกของรัฐบาลท่านอนุทินที่เป็นอดีตซีอีโอของ ปตท. ออกแบบโครงสร้างพูลก๊าซที่ฉากหน้าบอกว่าเพื่อประโยชน์ประชาชนได้ลดค่าไฟ แต่ทำให้ ปตท.และกลุ่มเอกชนที่เป็นทั้งผู้ผลิตไฟฟ้าและปิโตรเคมีรวยขึ้นจากหุ้นที่ขยับขึ้นดังที่เห็น น่าจะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน conflict of interest ที่คนเป็นรัฐมนตรีพลังงาน มิสมควรกระทำ ใช่หรือไม่ ?!?

รสนา โตสิตระกูล
13 กันยายน 2568


กำลังโหลดความคิดเห็น