xs
xsm
sm
md
lg

พท.-ภูมิธรรม ยุบสภา เสี่ยงคุก ยุบพรรค!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภูมิธรรม เวชยชัย - อนุทิน ชาญวีรกูล
เมืองไทย 360 องศา



จะเรียกว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงที่พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงมติกรรมการบริหารพรรคสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เมื่อเช้าวันที่ 3 กันยายน ก็มีรายงานข่าวออกมาว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นทูลเกล้าฯยุบสภาไปในทันที

โดยในเวลาต่อมา นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยหลังจากที่พรรคประชาชน มีมติสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ในด้านของฝ่ายนิติบัญญัติเราเตรียมตัว หากประธานสภาผู้แทนราษฎรบรรจุวาระในการเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่ พรรคเพื่อไทยพร้อมจะเสนอชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย

ขณะเดียวกัน นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า กระบวนการทั้งหมดที่รับทราบมาเมื่อเช้า นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ได้ดำเนินการเรื่องการทูลเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว แต่ในรายละเอียดขอให้นายภูมิธรรมเป็นผู้แถลง

ถามย้ำว่า ขณะนี้ยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว ใช่หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ใช่ครับ

ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวยอมรับว่า เท่าที่ได้พูดคุยกัน เมื่อคืนวันที่ 2 ก.ย.กับแกนนำ รวมถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย และผู้ที่เกี่ยวข้องคิดว่า หากคิดวิเคราะห์ดีๆ จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเลือกไปเพื่อยุบสภา เมื่อมีการโปรดเกล้าฯแล้ว และแถลงนโยบายต่อรัฐสภาหลังจากนั้นภายใน 4 เดือนก็จะต้องมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็จะมีการกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา ไม่ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศแบบจริงจัง แต่มายุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าคิดว่า เป็นกระบวนการที่เลือกผู้นำประเทศ แต่ไม่ได้บริหารประเทศ โดยในเฉพาะช่วงวิกฤตเช่นนี้

ขณะเดียวกัน การที่จะเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องมองถึงเอกภาพ ถึงการเป็นพรรคการเมืองก็เป็นปัญหา พรรคนี้ครึ่งหนึ่ง พรรคนั้นค่อนหนึ่ง หรือพรรคนั้นมีงูเห่าเท่านั้น เท่านี้ตัว ความสง่างามและความเป็นประชาธิปไตย อย่างที่ตนมาว่าจะเป็นปัญหา ซึ่งเราจะคิดว่า ถ้าเลือกทางนี้ท้ายที่สุดจะถูกต้องหรือไม่ จึงคิดว่าเมื่อจะยุบสภาอยู่แล้ว ทางที่ดีที่สุด ยุบไปเลยไม่ดีกว่าหรือ เพราะหากรัฐบาลที่เลือกเข้าไป ก็จะกลายเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย ก็ยุบเสียเลย สมมุติอย่างนี้ ซึ่งจากการพูดคุย ก็คิดว่าเหมาะสม แต่อำนาจการตัดสินใจ ก็เป็นเรื่องของผู้ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี

นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาการยุบสภามีอยู่ 2 ประการ คือ มีอำนาจหรือไม่ในการเสนอพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งก็จะมีความเห็นจาก เลขากฤษฎีกา ที่บอกว่าไม่มีอำนาจ แต่หลายความเห็นก็บอกว่ามีอำนาจ ซึ่งข้อสังเกตของตนมีอยู่ว่า สถานการณ์ตอนนั้น ไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนั้นนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพียงแต่ทำหน้าที่ไม่ได้ แต่หากถามว่าขณะนี้ ใครเป็นนายกรัฐมนตรี คำตอบคือ นายภูมิธรรม ที่ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจเต็ม นี่คือข้อสังเกตในเรื่องอำนาจ

ส่วนประการที่ 2 ที่มองว่าเป็นพระราชอำนาจ จะไปก้าวล่วงอะไร หรือไม่ จริงอยู่ที่เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กฎหมายระบุไว้ว่า ให้ตราการยุบสภา ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา คำถามคือ ใครเป็นผู้นำเสนอ และผู้ที่ต้องรับสนองพระราชโองการ คือ ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องยุบสภา สุดแล้วแต่จะเป็นพระบรมราชวินิจฉัย เราก้าวล่วงไม่ได้ ตนจึงคิดว่า น่าจะไปได้ จึงให้นายภูมิธรรม คิดดูว่าจะทำอย่างไร เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งฟังดูท่านก็มองว่า ควรจะไปทางนี้ได้อยู่เหมือนกัน

สำหรับมติของพรรคประชาชน สนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยมีเงื่อนไข ดังนี้

1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะต้องทุกสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้เสนอนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

2.ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นจะต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป

3.ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำว่าวินิจฉัยว่า การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นจะต้องมีการออกเสียงประชามติ ก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 256 คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยจะต้องเร่งผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ ในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว

4.เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน พรรคภูมิใจไทยจะต้องไม่ดำเนินการใด ๆ เพื่อทำให้ตนเองเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

พรรคประชาชนยืนยันจะดำรงตนเองอยู่ในสถานะพรรคฝ่ายค้านต่อไป โดยทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี

เมื่อมติพรรคประชาชนออกมาแบบนี้ ก็ทำให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะเดินหน้าไปได้ไม่ยาก และ นายอนุทิน จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เป็น “รัฐบาลชั่วคราว” เพื่อทำหน้าที่ยุบสภา และคาดว่าการโหวต น่าจะเกิดขึ้นไม่เกินวันที่ 5 กันยายน นี้

ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ต้องหันมาพิจารณา “ชะตากรรม” ของ นายภูมิธรรม เวชยชัย และพรรคเพื่อไทย หลังจากนี้ หลังจากที่เขายื่น ทูลเกล้าฯยุบสภา ไปแล้ว ท่ามกลางข้อถกเถียงว่า “มีอำนาจ” และ “มีเหตุผลเพียงพอในการเสนอยุบสภา” หรือไม่ เพราะหากทำความเข้าใจกฎหมายแบบบ้านๆ ให้เข้าใจง่ายก็คือ เวลานี้ “ไม่มีนายกรัฐมนตรี” แล้ว เพราะน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้พ้นจากตำแหน่ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติ ซึ่งทำให้ คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งพร้อมกันในทันที

แต่มีกฎหมายกำหนดให้ คณะรัฐมนตรี (เว้นนายกฯ) ต้องรักษาการ ทำหน้าที่เพื่อรอให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น ตอนนี้เหมือนกับว่า “ไม่มีนายกฯ มีแต่รักษาการนายกฯ” เท่านั้นและการทูลเกล้าฯยุบสภา เป็นอำนาจของนายกฯ ที่เป็นอำนาจเฉพาะตัว

ขณะเดียวกัน หากมีการยื่นทูลเกล้าฯยุบสภา ก็ย่อมต้องมีคนร้องต่อศาลรับธรรมนูญให้วินิจฉัย โดยกฎหมายให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติคือ ส.ส.และ ส.ว.เท่านั้น

นอกจากนี้ การเสนอยุบสภานั้นย่อมต้องมีเหตุผล และต้องเข้าเงื่อนไขสำคัญ เช่น เกิดความขัดแย้งระหว่าง ส.ส.และ ส.ว.เกี่ยวกับร่างกฎหมายสำคัญ มีปัญหาภายในรัฐบาลจนบริหารราชการต่อไปไม่ได้ การจัดตั้งรัฐบาลถึงทางตัน ไปต่อไม่ได้ หลังจากพยายามจนสุดความสามารถแล้ว รวมไปถึงเรียกร้องของประชาชน แต่หากพิจารณาจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ก็พอมองออกว่า เข้าเงื่อนไขหรือไม่

นอกเหนือจากนี้ การยุบสภาเป็นการตัดสินใจของ นายกรัฐมนตรี แต่จะยุบได้หรือไม่ เป็นพระราชอำนาจ และพระบรมราชวินิจฉัยเท่านั้น

ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้ทูลเกล้าฯยุบสภาไปแล้ว แต่คาดว่าหลังจากนี้ น่าจะเกิดผลตามมามากมาย ทั้งในเรื่องการยื่นตีความทางกฎหมายว่าทำได้ และมีเหตุผลเข้าเงื่อนไขได้ หรือไม่ ทำให้มีความเสี่ยงถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย และเสี่ยงต่อความผิดตาม มาตรา 157 ตามมาอีกด้วย แต่เมื่อพวกเขาเลือกแนวทางแบบนี้ ก็ถือว่าต้องยอมรับความเสี่ยงเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะนี่คือเกมยื้ออำนาจสุดชีวิต ยอมแม้กระทั่งฆ่าตัวตาย หรือเปล่า !!



กำลังโหลดความคิดเห็น