เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาสภาพของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเวลานี้ แทบไม่เหลือภาพของ “พยัคฆ์บูรพา”เลย เพราะกำลังถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนไปจนแทบจะติดมุมแล้ว ขณะที่มือไม้ หรือลูกสมุนที่เคยมี หลายคนเริ่มตีจาก ที่เหลืออยู่ก็ล้วนใช้การไม่ค่อยได้
ล่าสุดยังถูก “ลูกน้องปลายแถว” ของเครือข่าย นายทักษิณ ชินวัตร ยื่นสอบจริยธรรม ให้ถอดถอนพ้นจากส.ส.จากการขาดลา เกินกำหนด รวมไปถึงก่อนหน้านี้ได้ร้องในเชิง “ขับไล่” พ้นจากที่ทำการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด กล่าวหาว่า ใช้สถานที่ของทางราชการ เคลื่อนไหว ซ่องสุมทางการเมือง เป็นการกระทำผิดกฎหมาย
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ยื่นหนังสือถึง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่าได้ทำหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ สส.หรือไม่
นายพร้อมพงศ์ ระบุว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้มาลงมติประมาณ 13 ครั้ง จากทั้งหมด 16 ครั้ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่ากับ 81.25% ถ้าเป็นจริง ถือว่าการทำหน้าที่ของ สส.น่าเป็นห่วง เพราะตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎร กำหนดไว้ว่า สส.จะต้องอุทิศเวลามาประชุม และต้องไม่ขาดประชุมโดยไม่จำเป็น เว้นแต่เจ็บป่วย หรือมีเหตุสุดวิสัย ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(12) สมาชิกภาพ สส. สิ้นสุดลงเมื่อขาดประชุมเกิน 1 ใน 4 ของจำนวนวันประชุม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภา ถามว่า วันนี้ พล.อ.ประวิตร ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ มาทำหน้าที่ครบถ้วนหรือไม่ ตามที่ประชาชนได้ร้องเรียนมา
“ผมไม่ได้ร้องเรียนแค่ พล.อ.ประวิตรเพียงคนเดียว หากมีประชาชนมาร้องเรียน ผมก็จะตรวจสอบเหมือนกัน ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน พรรครัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ตรวจเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้สบายใจ อย่างเช่นรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องบริษัท เอ็นที ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีคนร้องว่า มีการฮั้วประมูลโครงการคลาวด์ ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตอนนี้ได้ชะลอโครงการอยู่ ผมไม่ร้องเหมือนนักร้องบ้านป่า ผมร้องจริง” นายพร้อมพงศ์ กล่าวอ้าง
ก่อนหน้านั้น นายพร้อมพงศ์ ยังได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ขอให้พิจารณาไต่สวน ดำเนินคดี พล.อ.ประวิตร เป็นเจ้าพนักงานรัฐเรียกรับเงิน เข้าข่ายการกระทำผิดฐานฟอกเงิน และตรวจสอบเส้นทางการเงิน พล.อ.ประวิตร รวมทั้ง “ไอ้โอ๋” และ “ป๊อด” ซึ่งปรากฏชื่อในคลิป ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2542 มาตรา 3 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น จากกรณีคลิปเสียงหลุด “เรียกรับเงิน”
และในเวลาไล่เลี่ยกันก่อนหน้านั้น นายพร้อมพงศ์ ก็ได้ขยับจะยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบสวนเรื่อง “คลิปเสียง” โดยให้สอบสวนเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน และจริยธรรม อีกด้วย
สำหรับกรณียื่นสอบจริยธรรม จากการขาดลาประชุมสภาเกินกำหนด นั้น ล่าสุดทางประธานรัฐสภา นายวันมูหะมัด นอร์ มะทา กล่าวว่า ยังไม่เห็นเนื้อหาที่มายื่น แต่คิดว่าเจ้าหน้าที่รับไว้แล้ว ซึ่งคงจะดำเนินการตามขั้นตอน ถ้าเขายื่นเรื่องสอบจริยธรรม ทางสภาฯ ก็จะพิจารณา ว่าเนื้อหาตรงกับที่ยื่นหรือไม่ หากตรงกัน ก็จะส่งให้กรรมการจริยธรรมของสภาฯ ซึ่งประกอบไปด้วย ประธานสภาฯ ผู้นำฝ่ายค้าน ตัวแทนสส.ของทุกพรรคการเมือง และอดีตสส. เพื่อพิจารณา และคงจะมีการนัดประชุมต่อไป เนื่องจากคณะกรรมการจริยธรรม มีเรื่องต้องพิจารณาหลายเรื่อง แต่เนื่องจากคณะกรรมการต้องมีองค์ประกอบครบ ซึ่งต้องมีผู้นำฝ่ายค้านด้วย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว เพียงเจ้าหน้าที่เสนอมาว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการพร้อม ก็เริ่มประชุมได้
แน่นอนว่า นี่คือสัญญาณการรุกไล่ “ลุงป้อม” จนต้องถอยกรูด หลังจากที่ “คลิปลับ” ทยอยโผล่ออกมาไม่ยั้ง ซึ่งทุกคนก็ย่อมมองออกว่าเป็น “เกมการเมือง” และยากที่จะขย่มให้ตาย เพียงแต่ว่าคนที่ซวย ก็น่าจะเป็นคนที่นำคลิปมาเปิดเท่านั้น เพราะผิดกฎหมาย แต่สำหรับ ลุงป้อมแล้ว งานนี้ถือว่าเสียหายยับเยิน
อีกทั้งไม่ต้องคาดเดาไปไกลว่า นี่คือ รายการ “เอาคืน” โดยเฉพาะการชี้นิ้วไปที่ “เครือข่ายทักษิณ” ของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มีเรื่องขัดใจกันมานาน ที่สำคัญจากกรณีที่ไม่ยอมไปโหวตให้“ลูกสาวเถ้าแก่” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และก่อนหน้านั้น ก็ไม่ยอมโหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน มาแล้ว แถมยังถูกกล่าวหาว่า พยายามซ่องสุมกำลังหาทางแย่งเก้าอี้นายกฯ อีกด้วย ซึ่ง นายทักษิณ เคยระบุว่า “คนบ้านป่าวุ่นวาย” และนำไปสู่การยื่นคำขาดไม่ให้ “พวกวงษ์สุวรรณ” ร่วมรัฐบาล จนในที่สุดพรรคพลังประชารัฐ ต้องออกไปเป็นฝ่ายค้านกับพรรคประชาชน แบบ “มีเราและมีลุง” จนต้องอมยิ้มกันทั้งบาง
ขณะเดียวกัน เมื่อมองกลับมาที่ฝั่งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บ้าง หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเขาก็พยายามฮึดสู้อย่างเต็มที่เหมือนกัน พยายามตอบโต้ทุกเม็ด ทั้งทางกฎหมาย การแถลงข่าวตอบโต้ แต่ก็อย่างว่า ทั้งศักยภาพของตัวเอง และบรรดาลูกน้องที่ยังเหลืออยู่ แทบจะไร้ความหมาย ไม่อาจช่วยเหลืออะไรมากนัก
ขณะที่ “ลุงป้อม” นาทีนี้แทบจะไร้พลังแล้ว มองไปในพรรคพลังประชารัฐ มีแต่ข่าวคนโน้นคนนี้ตีจาก คนที่ยังอยู่ก็เหมือนกับว่า “รอจังหวะ”สละเรือ หรือรอให้ถึงวันเลือกตั้งใหม่เท่านั้น ซึ่งสภาพความเป็นจริงมันก็คงมองไม่เห็นอนาคต เพราะไม่ว่ามองมุมไหน โอกาสที่ พล.อ.ประวิตร มีสิทธิ์ลุ้นเป็นนายกฯ แทบมองไม่เห็น และพรรคพลังประชารัฐ ก็อับเฉาลงไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันถึงสภาพที่เป็นอยู่ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยเป็น “เสือบูรพา” นาทีนี้ ไม่ต่างจากเสือที่ “กำลังสิ้นลาย” ถูกไล่บี้เข้ามาทุกทาง และแทบไม่มีที่ยืนแล้ว แม้ว่าในท้ายที่สุด คงจะไม่ถึงขั้นสิ้นชีพ แต่ก็คงหมดสภาพไปต่อไม่ไหวแล้ว!!