เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ร้อง กมธ.นิรโทษกรรม รับฟัง 5 ข้อกังวล ด้าน “มายด์” ย้ำ หากรัฐบาลไม่มีพื้นที่ให้พูดคุยเรื่อง ม.112 เท่ากับผลักให้ต้องไปคุยกันบนถนน ขณะที่ “ตะวัน” ลั่นถ้านิรโทษกรรมให้คนทำรัฐประหารได้ ก็ต้องนิรโทษกรรมให้นักโทษทางความคิดได้เหมือนกัน
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 18 กรกฎาคม ที่รัฐสภา เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน นำโดย น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ หรือทนายเมย์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วย ตัวแทนประชาชนผู้ถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวน 12 คน อาทิ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน, น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์, น.ส.ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ หรือ ใบปอ ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อสนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมประชาชนผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง โดยมี น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะโฆษก กมธ.เป็นผู้รับหนังสือ
โดย น.ส.พูนสุข กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ พวกตนได้มายื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชนต่อสภา แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างรอการพิจารณา และทางสภาได้ตั้ง กมธ.นิรโทษกรรมฯ ขึ้นมา แต่ผ่านมาเกือบ 6 เดือนแล้ว เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายที่ กมธ.นิรโทษกรรมฯ จะมีผลของการศึกษาพิจารณา ว่า จะมีแนวทางอย่างไร เราจึงมีข้อกังวลว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กมธ.นิรโทษกรรมฯ มีมติว่าจะไม่มีมติที่จะรวมเอาความผิดในคดีมาตรา 112 และมาตรา 110 แต่ให้เป็นความเห็นของ กมธ.นิรโทษกรรมฯ แต่ละคน
น.ส.ณัฎฐธิดา มีวังปลา ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 กล่าวว่า ผลเสียของมาตรา 112 ต่อประชาชนและนิสิตนักศึกษาคือ เป็นกฎหมายที่ห้ามหมิ่นประมาทแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือองค์รัชทายาท ซึ่งมีข้อกังวล 5 ประเด็น ดังนี้ 1. การตีความกฎหมายมาตรา 112 มาถูกวิจารณ์ว่ากว้างขวางและครอบคลุมเกินไปส่งผลให้การแสดงออก ที่ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทหรือกลับถูกดำเนินคดีไปด้วย
น.ส.ณัฎฐธิดา กล่าวต่อว่า 2. การใช้กฎหมายมาตรา 112 ในทางการเมือง ถูกวิจารณ์ว่าถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือปิดปากฝ่ายตรงข้าม หรือผู้มีความเห็นต่างกับรัฐ 3. การบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 บ่อยครั้งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อมวลชน 4. ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสากล และมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล และ 5. มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมว่าการใช้มาตรา 112 ขาดความโปร่งใสและเป็นธรรม
ขณะที่ นายธัชพงษ์ แกดำ ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 กล่าวว่า เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดได้ การนำมาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือต่างๆ รวมถึงนำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองมาหลายทศวรรษ ส่วนตัวเชื่อว่า ทุกฝ่ายที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา หรือว่ามีความปรารถนาดีต่อสังคม ไม่ว่าจะเสื้อเหลืองเสื้อแดง รุ่นพ่อรุ่นแม่จนกระทั่งรุ่นลูกรุ่นหลานและเพื่อนของเราที่อยู่ในเรือนจำ ต้องลี้ภัย หรือบางคนที่ต้องเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร
“การให้อภัยและสร้างความมุ่งหมายร่วมมือในการนิรโทษกรรมประชาชน คือ หัวใจสำคัญ ไม่ใช่แค่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คือสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือร่วมมือ ความเชื่อใจและให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นประตูที่จะบอกว่าประเทศเราพร้อมก้าวไปข้างหน้าได้ หากเริ่มการพูดคุยกันด้วยการนิรโทษกรรมประชาชน แต่สภากลับปิดโอกาสนี้ เราจึงต้องเผชิญกับความขัดแย้งตลอดไป” นายธัชพงษ์ กล่าว
น.ส.ภัสราวลี กล่าวว่า ยืนยันว่า การนิรโทษกรรมในครั้งนี้ จำเป็นต้องรวมมาตรา 112 เข้าไปด้วย เพราะหากไม่รวม ปัญหาความขัดแย้งทางสังคมที่รัฐบาลอยากให้จบลง ก็จะไม่มีวันจบ
“ความขัดแย้งจะไม่ได้จบลงเพียงเพราะมีการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ แต่ต้องให้ประชาชนมีพื้นที่ในการพูดคุย และใช้เสรีภาพได้อย่างเสมอหน้ากัน เรื่องมาตรา 112 เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน หากรัฐบาลและคณะกรรมาธิการ ไม่เหลือพื้นที่ในการพูดคุยเรื่องนี้เลย เท่ากับว่าผลักดันเรื่องนี้ให้ต้องไปคุยกันบนถนน และผลักภาระให้พี่น้องประชาชนไปโดยปริยาย ในเมื่อตอนนี้ เราได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว ก็ควรจริงจังกับการคืนความปกติให้เรื่องนี้” น.ส.ภัสราวลี กล่าว
น.ส.ณัฐนิช กล่าวว่า ล่าสุด มีคนเสียชีวิตเพราะกฎหมายมาตรา 112 แล้ว คือ น.ส.เนติพร เสน่สังคม หรือ บุ้ง ฉะนั้น กฎหมายนี้ก็เหมือนกับกฎหมายอื่นๆ ไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือกฎหมายใด จึงไม่มีเหตุให้นิรโทษกรรมไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีเวลาถกเถียงว่า จะรวมหรือไม่รวม แต่ควรเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียของเพื่อนๆ เราอีก
น.ส.ทานตะวัน กล่าวว่า ย้ำว่ามีคนเจ็บปวด จากมาตรา 112 และมีคนตายจริงๆ แม้ กมธ.จะไม่มีพลังวิเศษที่จะสามารถฟื้นคืนชีวิตเขากลับมาได้ แต่อย่างน้อย กมธ.ก็มีอำนาจที่จะสามารถคืนความยุติธรรมให้กับเขาได้ และแม้ความเจ็บปวดของเราจะไม่ได้ลดลง แต่ในเมื่อ กมธ.มีอำนาจตรงนั้น และที่สำคัญ คือ ถ้า กมธ.สามารถนิรโทษกรรมให้คนที่ทำรัฐประหารได้ ฉะนั้น ก็ต้องสามารถนิรโทษกรรมนักโทษทางความคิดได้เหมือนกัน
น.ส.ศศินันท์ กล่าวว่า ผ่านมา 6 เดือนแล้ว สำหรับการพิจารณาของ กมธ.นิรโทษกรรมฯ ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการถกเถียงก็จะลงมติกันหรือไม่ และเป็นการเปิดพื้นที่ให้ กมธ.นิรโทษกรรมฯ โดยแต่ละคนก็ได้แสดงความคิดเห็นถึงข้อดีข้อเสีย ซึ่งสามารถติดตามเหตุผลของแต่ละท่านได้ในบันทึกการประชุม โดยวันนี้ ก็จะได้ให้ กมธ. ที่เหลือได้แสดงความเห็น และสิ่งสำคัญคือทุกเสียงควรต้องได้รับฟังว่ามีเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังมีความเห็นตรงหรือต่างกับ กมธ.นิรโทษกรรมฯ บางท่าน หวังว่าการเดินทางมาครั้งนี้ของประชาชนจะสามารถส่งเสียงไปยัง กมธ.นิรโทษกรรมฯ ทุกท่านได้อย่างจริงๆ
“รายงานเรื่องนี้จะไม่ใช่แค่เป็นดิจิทัลฟรุ๊ตปรินท์ แต่จะเป็นเปเปอร์ฟรุ๊ตปรินท์ด้วยว่า กมธ.นิรโทษกรรมฯ แต่ละท่านมีความเห็นในช่วงเวลาที่สถานการณ์การเมืองเป็นเช่นนี้อย่างไรบ้าง” น.ส.ศศินันท์ กล่าว