โฆษกพรรคก้าวไกล ห่วงเสรีภาพสื่อถดถอย หลัง ตร. จับกุม นักข่าวประชาไท-ช่างภาพ ชี้ หากสื่อต้องระแวงในการทำหน้าที่ หวั่นกระทบต่อประชาธิปไตยไทย มองญัตติขบวนเสด็จฯ มีทั้งหาสมดุลลดผลกระทบ-บริหารความขัดแย้ง สันติวิธีไม่รุนแรง
วันนี้ (13 ก.พ.) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระราชวัง จับกุมผู้สื่อข่าวภาคสนาม สำนักข่าวประชาไทและช่างภาพอิสระ ในข้อกล่าวหาว่า “เป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ” ว่า ตนได้ทราบจากข่าว ว่า ขณะนี้ทั้งสองคนถูกคุมตัวข้ามคืนที่ สน. ซึ่งคาดว่า สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะนักข่าวและช่างภาพไปรายงานข่าวเท่านั้น จึงต้องพิจารณาดูข้อเท็จจริงว่าทั้งสองคนถูกจับกุมเพียงเพราะแค่ไปรายงานข่าวจริงหรือไม่ เพราะถือเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก
“เรื่องนี้ขัดต่อหลักการสำคัญในการทำงานของสื่อมวลชนที่ว่า การรายงานข้อเท็จจริงไม่ได้เท่ากับสนับสนุนการกระทำที่เป็นเนื้อหาสาระสำคัญของข่าว และเสรีภาพของสื่อมวลชนก็เป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าดูจากการวัดระดับเสรีภาพของสื่อมวลชนประเทศไทย เมื่อเทียบกับทั่วโลกใน World Press Freedom Index 2023 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ร้อยกว่าจากสองร้อยประเทศที่มีการวัดผล ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดีมากนัก และหากเหตุการณ์จับกุมสื่อมวลชนมีเหตุผลตามที่คาดการณ์กันจริง ก็จะยิ่งทำให้เสรีภาพสื่อยิ่งถดถอย”
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่า การดำเนินคดีครั้งนี้เป็นการใช้กฎหมายปิดปาก เพื่อสร้างความหวาดกลัวในการนำเสนอข่าว นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เพราะสื่อมวลชนมีสิทธิขั้นพื้นฐานในการรายงานข้อเท็จจริงทุกเหตุการณ์ และเป็นการรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้วยการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนรอบด้าน
“เมื่อไหร่ก็ตามที่สื่อมวลชนต้องหวาดระแวง ระมัดระวัง ในการทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงก็ถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากต่อประชาธิปไตยของประเทศไทย และหวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ขอให้รัฐบาลรีบสืบค้นข้อเท็จจริงและหาทางแก้ไขโดยด่วน” นายพริษฐ์ กล่าว
สำหรับกรณีที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เตรียมเสนอญัตติด่วน เกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยของขบวนเสด็จฯ ในวันพรุ่งนี้นั้น นายพริษฐ์ ระบุว่า ต้องมาดูรายละเอียดของญัตติก่อน ว่า ที่มาที่ไปของเหตุผลในการประกอบญัตติเป็นเช่นไร แต่โดยเบื้องต้น เห็นว่า เป็นประเด็นที่มีความแตกต่างกันทั้งในและนอกสภา และเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ถูกนำมาพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และมีเหตุมีผล จากตัวแทนที่มีความคิดเห็นแตกต่างหลากหลาย ในพื้นที่ของสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม นายพริษฐ์ คาดการณ์ว่า ญัตติดังกล่าว ประกอบด้วย สองโจทย์
คือ หนึ่ง จะออกแบบมาตรการเรื่องขบวนเสด็จฯ อย่างไรเพื่อหาสมดุล ระหว่างการรักษาความปลอดภัย ควบคู่กับความพยายามลดผลกระทบที่อาจจะมีต่อประชาชนผู้สัญจรไปมา และ สอง เป็นโจทย์ที่กว้างกว่า คือ การจะบริหารความขัดแย้งในสังคมอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง หรือขยายช่องว่างทางความเข้าใจและความคิดที่แตกต่าง ด้วยกระบวนการประชาธิปไตย ส่วนตัวมองว่าสิ่งสำคัญเร่งด่วนที่สุดตอนนี้ คือ ไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคม
เมื่อถามว่า มองว่า การกระทำของกลุ่มนักกิจกรรม เกินเหตุหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เคยตอบเรื่องนี้ไปเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ความเห็นที่แตกต่างในสังคมเป็นเรื่องปกติ และสังคมจะมองทั้งเนื้อหาสาระที่มีการเรียกร้องและวิธีการเรียกร้องควบคู่กันไป แต่ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่กับเนื้อหาสาระและวิธีการ เราจำเป็นต้องไม่ยึดหลักการใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา เพื่อหาทางคลี่คลายผ่านความเห็นที่แตกต่างผ่านกระบวนการสันติวิธีให้ได้