นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุมหารือแผนพัฒนา จ.เชียงราย พร้อมยกระดับเชียงรายเป็นเมืองน่าเที่ยว ย้ำเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปพืชผลทางการเกษตร จ.เชียงราย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ฝากฝ่ายความมั่นคงช่วยดูแลฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด สร้างอาชีพ-ระเบียบวินัย ป้องกันไม่ให้กลับไปเสพซ้ำอีก
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2567) เวลา 15.40 น. ณ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย โดยมี นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และคณะร่วมด้วย
น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ ได้รับฟังแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกับนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาลในด้านต่าง ๆ ที่มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยในการพัฒนาให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City) จังหวัดเชียงรายได้บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จนเกิดการลงนาม MOU เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 เพื่อขับเคลื่อนเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพ โดยมีประเด็นการพัฒนา 3 ด้าน 1) Wellness Food พัฒนาผลผลิตท้องถิ่นให้เป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ Wellness Food Chiang Rai Gastronomy 2) ด้าน Health Care การยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการ การบริการสุขภาพและศูนย์บริการสุขภาพให้ได้มาตรฐานสากล 3) ด้าน Tourism การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness tourism) เช่น เส้นทางธรรมชาติ บ่อน้ำพุร้อน ฯลฯ
พร้อมรับฟังรายงานสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังผาเมือง โดยได้มีการเพิ่มความเข้มข้นในการสกัดกั้นปราบปรามป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบ 24 อำเภอชายแดน โดยแผนการปฏิบัติในการสกัดกั้นปราบปราม แบ่งเป็น พื้นที่นอกชายแดนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นการประสานการปฏิบัติและแลกเปลี่ยนข่าวสาร พื้นที่จากแนวชายแดนเข้ามาในประเทศ พื้นที่ระยะ 5-10 กิโลเมตรจะใช้มาตรการสกัดกั้นอย่างเข้มข้น พื้นที่พ้นระยะ 5-10 กิโลเมตรจากแนวชายแดนเข้ามาจะใช้มาตรการปราบปรามเป็นหลัก และพื้นที่หลังแนวอำเภอชายแดนลงมา จากแนวชายแดนเข้ามา จะใช้การประสานงานกับ ตร.บช.ปส. กอ.รมน. จังหวัดบูรณาการร่วมกัน เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกฯ ได้กล่าวถึงศักยภาพจังหวัดเชียงรายว่าเป็นเมืองน่าเที่ยว ไม่ใช่เมืองรอง โดยจะพยายามยกระดับให้จังหวัดเชียงรายเป็น “เมืองน่าเที่ยว” โดยได้รับทราบประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำแพงเมือง ซึ่งความจริงแล้วเป็นเมืองหลวงแรกของประเทศไทย และมีอายุกว่า 1,000 ปี โดยมีสภาพสมบูรณ์แบบพอสมควร ขณะเดียวกันก็มีสนามบินที่เชียงรายแล้ว จึงขอสั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรมช่วยกันโปรโมทเรื่องนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมายังโปรโมทน้อยอยู่ รวมทั้งให้มีการเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ถูกเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มที่สนใจทางด้านวัฒนธรรม และกลุ่มที่อนุรักษ์วัฒนธรรม
ส่วนเรื่องของสินค้าการเกษตรนั้น นายกฯ ย้ำว่า จังหวัดเชียงรายมีพืชเศรษฐกิจหลักที่มีศักยภาพหลายชนิด ทั้งข้าว ชา กาแฟ ลิ้นจี่ สับปะรด เป็นต้น ซึ่งปีที่ผ่านมาราคาพืชผลทางการเกษตรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งเรื่องของโลจิสติกส์เป็นเรื่องที่สำคัญ นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังอยู่ติดกับชายแดนประเทศเมียนมา ซึ่งมีประเด็นในหลายเรื่อง เช่น เรื่องสินค้าเถื่อนที่เข้ามา โดยในปีที่ผ่านมากรมศุลกากรก็ทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดี ทำให้สามารถสกัดกั้นสินค้าเถื่อนที่จะเข้ามาประเทศไทยได้จำนวนมาก ส่งผลให้ราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศไทยสูงขึ้นโดยเฉพาะราคายางพารา ทำให้รายได้ของพี่น้องประชาชนในประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งตรงนี้ขอกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ จากพืชผลทางการเกษตรที่มีศักยภาพของจังหวัดเชียงราย เช่น ลำไย ลิ้นจี่ และสับปะรด ฯลฯ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเหล่านั้นด้วย
พร้อมทั้ง นายกฯ ได้ย้ำถึงเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงได้มีการนำเสนอเกี่ยวกับการสกัดกั้นตามชายแดนก็เป็นเรื่องสำคัญ เช่น กรณีที่มีการจับยาบ้าได้เพิ่มเป็น 3 เท่า รวมทั้งเฮโรอีนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงขอฝากทีมงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานไปยังทูตสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะต้องอาศัยความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา
ส่วนที่มีการรายงานว่าปะทะกันหลายครั้งแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่สูญเสียเลยนั้น นายกฯ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่การปะทะที่ผ่านมา ทางฝ่ายตำรวจมีการสูญเสียเกิดขึ้น ทั้งนี้ หลายเรื่องเป็นเรื่องที่ได้ย้ำแล้ว เรื่องของการขาดยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เช่น Night Vision ซึ่งหากเรามีอุปกรณ์ดังกล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ก็คงไม่ทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น เพราะอุปกรณ์ที่ใช้มีเพียงไฟฉายที่ส่องไป ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นและสามารถยิงกลับมาได้ ซึ่งในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ส. ที่มีอุปกรณ์เหล่านี้อยู่พร้อมแล้วก็ขอให้มีการไปดูด้วยว่าหน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ตามตะเข็บชายแดนที่มีความต้องการอยู่ ให้รีบมีการกระจายยุทโธปกรณ์เหล่านั้นออกไปโดยเร็วที่สุด รวมไปถึงรถโฟร์วีลก็เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อจะได้ช่วยปกป้องชายแดนให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงยุทโธปกรณ์ที่มีความทันสมัย ที่จะเข้ามาช่วยในการสนับสนุนการปฏิบัติงานและในการขนส่งสินค้า หรือเป็นตัวสกัดกั้น เช่น กรณีที่ฝ่ายตรงข้ามใช้โดรนในการขนส่งสินค้าหรือยา โดยมอบหมายให้เลขาธิการ ป.ป.ส. ไปดูว่ามีวิธีใดที่จะสกัดกั้นตรงนี้ได้หรือไม่ เพื่อให้สกัดกั้นได้ทันฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่ค้ายาเสพติด พร้อมกันนี้ นายกฯ แสดงความห่วงใยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการยกระดับกวดขันให้เข้มงวด ขอให้ทุกคนอย่าได้ประมาท ขอให้มีการดูแลตนเองให้ดีในการที่จะป้องกันตนเองด้วยระหว่างปฏิบัติหน้าที่
รวมทั้งนายกฯ กล่าวว่า ชุมชนเข้มแข็งก็เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญที่ต้องทำควบคู่กับการปราบปรามในการตัดซัพพลาย โดยเฉพาะการดูแลพี่น้องประชาชนที่ติดยาต้องช่วยกันดูแลให้สังคมมีความเข้มแข็ง มีการเอกซเรย์ทุกหมู่บ้าน เพราะตอนนี้ได้มีการยกระดับพื้นที่ในจังหวัดน่านและจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดนำร่อง ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นไตรมาส 3 จะเป็นจังหวัดสีขาวได้ และจังหวัดอื่นก็ต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ เมื่อเรากำจัดและจับแล้ว บุคคลเหล่านั้นต้องไม่กลับไปเสพอีก ซึ่งดูตามสถิติแล้วพบว่ามีอยู่ 10% ที่กลับไปเสพซ้ำอีก จึงขอให้ฝ่ายความมั่นคง กองทัพ เข้ามาช่วยให้กลุ่มเหล่านี้มีอาชีพ ทั้งด้านช่างก่อสร้าง หรือช่างเครื่องต่าง ๆ ช่างตัดผม เพื่อให้หลังการรักษาฟื้นฟูจากการติดยาแล้วมีอาชีพและมีรายได้ ทำให้ไม่กลับไปติดซ้ำอีก ซึ่งจังหวัดน่านมีระบบตรงนี้ที่ดีมาก โดยอยากฝากฝ่ายความมั่นคงในการเข้ามาช่วยตรงนี้ในการสร้างอาชีพและระเบียบวินัย ให้ผู้ติดยาเสพติดหายขาดและไม่กลับไปติดซ้ำอีก สามารถหย่าขาดจากยาเสพติดได้สำเร็จ