ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “สว.หมอเกศ” ยันปริญญาของแทร่ เรียนจริง จบจริง แต่ชาวเน็ตดูท่าจะยังไม่จบ
รายงานตัวเป็นที่เรียบร้อบ สำหรับ “หมอเกศ” พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.กลุ่ม 19 กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งที่ได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุด 79 คะแนน ในการเลือกระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ท่ามกลางข้อกังขาเรื่องคุณสมบัติที่เธอเขียนไว้ในใบ สว.3 เอกสารแนะนำตัวเป็นทางการที่ กกต.ออกให้ อย่างเลิศเลอเปอร์เฟกต์ ว่า เป็นศาสตราจารย์ ดอกเตอร์แพทย์หญิง
โดยได้ตำแหน่ง ศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Resource Development) จาก California University สหรัฐอเมริกา
และ ได้ปริญญาเอก รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) จาก California University เช่นเดียวกัน
ซึ่งก็มีบรรดาชาวพลเมืองเน็ตหลายผู้หลายนาม ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า ชื่อมหาวิทยาลัยที่เธออ้างว่าไปคว้าปริญญามาได้นั้น จะเป็นแค่มหาวิทยาลัยห้องแถว หรือเปล่า เพราะดูจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเลย เปิดกูเกิลค้นหาชื่อก็ยังไม่เจอด้วยซ้ำ
หลังรายงานตัวที่วุฒิสภาเสร็จสรรพเรียบร้อยเมื่อวาน “หมอเกศ” ก็เลยถือโอกาสชี้แจงเรื่องความสงสัยที่มีต่อ วุฒิการศึกษาที่เธอได้รับ โดยยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นของจริง เรียนจริง จบจริง ไม่มีการซื้อปริญญา มหาวิทยาลัยที่จบก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยห้องแถว อย่างที่เป็นข่าว
ก่อนหน้านี้ ที่ไม่ออกมาชี้แจงก็เพราะว่า กกต.ยังไม่รับรอง ยังเป็นแค่ “ว่าที่ สว.”อยู่ ถ้าออกมาให้สัมภาษณ์ อาจจะผิดต่อระเบียบของ กกต.
“หมอเกศ” ยืนยันอีกว่า จริงๆ แล้ว เธอโดนตรวจสอบเรื่องวุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับอำเภอแล้ว และได้ชี้แจงเป็นเอกสารทั้งหมด ปริญญาที่ได้จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียยูนิเวอร์ซิตี้ และใบปริญญา ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ของสหรัฐอเมริกา
พร้อมย้ำว่า ตัวแคลิฟอร์เนียยูนิเวอร์ซิตี้ ก็เป็นมหาวิทยาลัยจริงๆ ไม่ใช่ห้องแถว ไม่มีการซื้อปริญญา
เรื่องราวก็ดูเหมือนจะจบ แต่ชาวเน็ตก็ยังคลางแคลงใจต่อวุฒิการศึกษาของ “หมอเกศ” อยู่ดี
เรื่องความเป็นหมอจริง หรือหมอปลอม คงไม่มีใครสงสัย เพราะเธอจบปริญญาตรีแพทย์ศาสตร์บัณฑิต จากคณะแพทย์ศาสตร์ ม.รังสิต ที่ตรวจสอบได้อยู่แล้ว
แต่ความเว่อร์วัง ที่เธอใส่คำว่า “ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์” ไว้ในใบ สว.3 นั่นแหละ ที่ทำให้หลายคนยังติดใจสงสัย
โดยเฉพาะคำว่า “ศาสตราจารย์” อันเป็นตำแหน่งทางวิชาการ ที่ต้องมีผลงานวิชาการชัดเจน ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร และผ่านการโปรดเกล้าฯ เธอก็ไม่ได้ชี้แจงว่า มีผลงานอะไร ได้รับการโปรดเกล้าฯ ไปเมื่อไหร่
จริงอยู่ กฎหมายไม่ได้กำหนดว่า ส.ว.ต้องจบปริญญาระดับไหน แต่ถ้าโอ้อวดวุฒิการศึกษาเกินจริง ทำให้คนเลือกเข้าใจผิดในคุณสมบัติ จนลงคะแนนให้ นั่นแหละคือประเด็น
ยิ่งเมื่อ “หมอเกศ” ไปออกรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ดำเนินรายการโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา และ น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ หรือไบรท์ และคุณหมอ สว. ก็โดนลองภูมิ ให้กล่าวแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ เพราะมีผู้ชมทางบ้านถามมา ในฐานะที่เป็นนักเรียนนอก จบดอกเตอร์มา ปรากฏว่า เจ้าตัวมีอาการเลิ่กลั่ก ก่อนแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักตลอดเวลา
ชาวเน็ตก็เลยขยี้เต็มที่ เข้ามาคอมเมนต์ ว่า "ส่วนมากคนเป็นหมอ ภาษาอังกฤษต้องได้นะคะ" ... "คุณหมอจบจากอเมริกาจริงๆ ใช่ไหมคะ"... "หมอตื่นเต้นรึเปล่าคะ"... "คุณสรยุทธเลือดเย็นมาก"... "ไม่บูลลี่ทักษะการพูดภาษาอังกฤษของคนอื่นนะคะ แต่หมอจบจากอเมริกา ก็แอบคาดหวังนิดหนึ่ง สำเนียงติดไทยไม่เป็นไร เพราะชัชชาติ ก็ติดสำเนียงไทยจ๋า แต่ความมั่นใจและความลื่นไหลก็น่าจะมี"...เหล่านี้เป็นต้น
งานนี้ แม้ “หมอเกศ” จะยืนยันว่า เรียนเมืองนอกจริง จบมาจริง แต่ดูเหมือนชาวเน็ตจะไม่ยอมจบซะแล้ว
++ “เหลิม-วัน” สองพ่อลูกไร้ราคา ในสายตาเพื่อไทย
จากกรณีที่มีภาพของ “วัน อยู่บำรุง” ไปนั่งลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ที่บ้านพักของ “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครอิสระ ที่เป็นคู่แข่งของ “ชาญ พวงเพ็ชร์” ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย สร้างความไม่พอใจแก่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่สร้าง “ความอับอาย” ในทางการเมือง จนถึงกับเรียก “วัน” ไปตำหนิ ในการประชุมสส.ของพรรค เมื่อสองวันก่อน
จึงเป็นที่มาของการประกาศลาออกจากกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และออกจากสมาชิกพรรค ซึ่งล่าสุด “วัน อยู่บำรุง” ก็โชว์หนังสือลาออกจากกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี อย่างเป็นทางการแล้ว
“อุ๊งอิ๊ง” พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เมื่อเรียก “วัน” เข้ามาพูดคุยในฐานะที่ตนเอง เป็นหัวหน้าพรรค ต้องปกครองคนหมู่มาก ก็ได้ตักเตือนไป ซึ่งคำแรกที่เขาบอกคือ เขาคิดน้อยไป ขอโทษด้วย และบอกว่า จะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งตนเองก็บอกไปว่า แล้วแต่ ให้เป็นวิจารณญาณ
ส่วนล่าสุดที่ “วัน” บอกว่าจะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคด้วยนั้น ส่วนตัวก็ไม่อยากให้ลาออก เช่นเดียวกับที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ ที่ออกมาเรียกร้องให้พรรคขับออกนั้น “อุ๊งอิ๊ง” บอกไม่มีนโยบายที่จะทำเช่นนั้น และถ้า “วัน” ต้องการพูดคุยด้วย ก็สามารถติดต่อได้ตลอด ไม่มีทางที่จะติดต่อไม่ได้ พร้อมที่จะคุยกับทั้ง “วัน และ เฉลิม”
แต่ถ้าจะต้องให้ไป“บ้านริมคลอง” เพื่อเคลียร์ใจในเรื่องนี้ “อุ๊งอิ๊ง” บอกยังไม่มีการวางแผนที่จะทำเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เชื่อว่า “อยุ่บำรุง” กับ “ชินวัตร” คงจะอยู่ร่วมเรือลำเดียวกันยากเสียแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างมี “ความคับแค้นใจ” ต่อกัน
การที่ “วัน”ไปให้กำลังใจ “บิ๊กแจ๊ส” เพราะครอบครัวของ ร.ต.อ.เฉลิม สนิทสนมกับบิ๊กแจ๊สมานาน ต่างฝ่ายต่างไปมาหาสู่กันเสมอ การไปให้กำลังใจในวันเลือกตั้ง นายกอบจ.ปทุมธานี หากจะมองว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ของคนคุ้นเคยกัน ก็พอจะเข้าใจได้
แต่ที่ “อุ๊งอิ๊ง” นำมาเป็นเหตุโกรธเคือง นอกจากจะเป็นเรื่องของการปกครองลูกพรรค แล้วยังน่าจะเห็นว่าตระกูล “อยู่บำรุง” ของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่เคยเป็นกำลังหลักในฐานะ “ขุนศึกฝั่งธนฯ” หรือ “ขาใหญ่บางบอน” แต่วันนี้ ไม่มีราคาไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเมื่อถูกคู่แข่งอย่าง “พรรคก้าวไกล” รุกเข้ามายึดครอง
“ร.ต.อ.เฉลิม” ที่เคยเป็นดาวเด่นในสภา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน หรือรัฐบาล ก็พร้อมที่จะเปิดฉาก ปะ ฉะ ดะ...
บนเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งทุกครั้งจะมี “เฉลิม” เป็นแม่ทัพ ร่วมออกตระเวนเดินสายไปตามจังหวัดต่างๆ
ถึงวันนี้ ด้วย “วัย และสังขาร” ร.ต.อ.เฉลิม ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้แล้ว
ส่วน “วัน อยู่บำรุง” ที่หวังว่าจะให้เป็นผู้สืบทอดทางการเมือง ดูแลเขตบางบอน ก็ดันมาแพ้เลือกตั้งเสียอีก และการแพ้ครั้งนี้ โอกาสที่จะกลับมาทวงคืนก็ยากเสียด้วย
ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยต้องการปฏิรูป ปรับโครงสร้าง ปรับแนวทางของพรรค เพื่อตอบสนองคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในหัวของ “อุ๊งอิ๊ง” จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาคนใน “ตระกูลอยู่บำรุง”แล้ว
เรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้น จึงถูกนำมาขยายเป็นเรื่องใหญ่ เสมือนว่าปล่อยไว้ไม่ได้ ถ้าขืนปล่อยไว้ ต้องแพ้เลือกตั้งแน่ๆ
ทั้งที่หากจะย้อนกลับไปดูนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแบบ พูดอย่าง ทำอีกอย่าง ... เช่น คำประกาศล้างบางเผด็จการ... ปิดสวิตช์ 3ป. ปิดสวิตช์สว. .... แต่ก็ข้ามขั้วไปร่วมกับพรรคลุงป้อม–ลุงตู่ แถมมีสว.กว่า 100 เสียงมาโหวตหนุนให้ “เศรษฐา ทวีสิน” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี...เรื่องที่ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาแล้วทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เหนือรัฐบาล
เหล่านี้ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ในทางการเมือง ที่จะมีผลต่อการเลือกตั้ง ส่วนเรื่อง “วัน” ไปนั่งลุ้นคะแนน “บิ๊กแจ๊ส”นั้น ขี้ผงมาก
แต่เมื่อตระกูล “อยู่บำรุง” หมดค่าให้ใช้สอย ก็เลยไม่มีราคาที่จะอยู่ในพรรคอีกต่อไป