“สุรเชษฐ์” ยื่น ป.ป.ช.เอาผิดนายกฯ ตาม ม.157 ปมเสนอชื่อ “บิ๊กต่อ” เป็น ผบ.ตร. อ้างไม่ยึดหลักอาวุโส-ความรู้ความสามารถ แจงเคยยื่นฟ้องแล้วแต่ถอนฟ้องเมื่อเดือน เม.ย.เพราะซ้ำซ้อนกับ “เสรีพิศุทธ์” แต่ต่อมา “เสรีพิศุทธ์” ถอนฟ้อง ตนในฐานะผู้เสียหายจึงมาฟ้องใหม่ ยันไม่ได้ท้ารบ ไม่กลับลำถอนฟ้องอีกแน่ และไม่กลัวถูกยิง
วันนี้ (3 ก.ค.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างถูกสั่งให้ออกจากการาชการไว้ก่อนหลังถูกตั้งกรรมการสอบสวนกรณีพัวพันเว็บพนัน ได้นำเอกสาร 4 แฟ้ม เข้ายื่นต่อ ป.ป.ช. โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า มายื่น 2 เรื่องแรกคือ คดีฟอกเงิน สน.เตาปูน ที่เรื่องอยู่ในชั้น ป.ป.ช. โดยตนเองมายื่นเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งรายละเอียดต่างๆ ในคดี โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงิน และคำชี้แจงข้อกล่าวหาฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นการยื่นตามขั้นตอนของกระบวนการ ป.ป.ช. และขณะนี้สถานะของตนเองเมื่ออยู่ในชั้น ป.ป.ช. ก็จะเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นผู้ต้องหา กลายเป็นผู้ถูกตรวจสอบ เพื่อรอการไต่สวนและชี้มูล ดังนั้นตราบใดที่ ป.ป.ช.ยังไม่ชี้มูลก็ถือว่า ยังบริสุทธิ์
ส่วนกรณีคดีมินนี่ ที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาลูกน้องตนเอง 8 คน ได้ส่งอัยการและอัยการส่งสำนวนกลับก็เพราะอัยการมองว่า ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเป็นของ ป.ป.ช. คาดว่า เร็วๆ นี้ พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนดังกล่าวมาส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ จึงเห็นได้ชัดว่า การสอบสวนตั้งแต่ต้นที่ส่วนตัวมองว่าเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ เมื่อมิชอบก็จะถือว่าเป็นการสอบสวนที่ผิด ซึ่งคงคาดการณ์ได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนเรื่องที่ 2 ได้มายื่นกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.โดยมิชอบ ตาม ม.157 ซึ่งก่อนหน้านี้ วันที่ 22 เม.ย.ตนเองได้มายื่นฟ้องไปแล้ว และถอนฟ้องในวันที่ 23 เม.ย. เนื่องจากขณะนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ได้มายื่นกล่าวหาจึงไม่อยากให้เกิดความซ้ำซ้อน แต่ล่าสุด ตนได้เจอกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และทราบว่าท่านได้ถอนฟ้องไปแล้ว ซึ่งไม่ทราบเหตุผล ดังนั้น ตนในฐานะพยานผู้เสียหายโดยตรง จึงมายื่นฟ้องอีกครั้ง เพื่อจะได้เป็นผู้ติดตามผล และได้นำผลการพิจารณาของ ป.ป.ช.มาชี้แจงกับประชาชน
“เพราะกรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.โดยมิชอบนั้น มองว่า ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์ต้องคำนึงถึง 2 ส่วน คือ ความอาวุโส และความรู้ความสามารถในการป้องกันและปราบปราม แต่ขณะนั้นนายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลการแต่งตั้งว่า เพื่อสามารถตอบสนองนโยบายรัฐบาลของรัฐบาลได้ และเป็นที่ไว้วางใจ ดังนั้น หากแต่งตั้งแบบนี้ ก็ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ขัดกับ พ.ร.บ.ตำรวจ และในขณะนี้ หากปฏิบัติตามเกณฑ์ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เป็นผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง ผมเป็นอาวุโสลำดับที่ 2 แต่มีการเสนอชื่ออันดับสุดท้ายมาเลยโดยไม่ไล่เรียงอันดับ 1 2 3 ก่อน จึงถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจ”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจในการเสนอชื่อบุคคลใดเป็นแคนดิเดต แต่จะต้องชี้แจงเหตุผล ถ้าไม่เอา เบอร์ 1-2-3 เป็นเพราะอะไร ไม่ใช่อยู่ๆ ไปเอาเบอร์สุดท้ายมาเลย ยืนยันว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ไม่มีการให้คะแนน เพราะหากจะให้คะแนน ประชาชนจะต้องเป็นคนให้ ดังนั้น ถ้าจะไม่ยึดเกณฑ์ลำดับอาวุโส ก็ต้องแก้กฎหมายใหม่ไปเลย ส่วน ก.ตร.ในขณะนั้นที่เห็นชอบแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย แต่มี 2 ท่านที่ไม่ได้ยกมือเห็นชอบ
เมื่อถามว่า จะกลับลำถอนฟ้องอีกหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ความผิดนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ใครจะยื่นฟ้องก็ได้ แต่คนอื่นไม่ใช่ผู้เสียหาย ตนเป็นผู้เสียหายชัดเจน ดังนั้น อาญาแผ่นดินถอนฟ้องไม่ได้ และเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการท้ารบ แต่ทำไปตามกฎหมาย ไม่เช่นนั้น องค์กรจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่ยึดหลักกฎหมายแต่ไปสนองนโยบาย และการฟ้องครั้งนี้ไม่ได้จัดหนัก แต่การจะทำอะไรต้องคิดอย่างรอบคอบ ซึ่งการกล่าวหาไม่ได้โกรธส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรี แต่เห็นว่า เป็นการกระทำผิดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนตนเองอาจจะได้กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืออาจจะถูกออกไปเลยก็ได้นั้น ก็ไม่เป็นไร แต่เป็นการทำเพื่อรักษาระเบียบข้อกฎหมายขององค์กร เพื่อให้องค์กรยังอยู่ได้ เพื่อคนรุ่นหลัง และไม่ได้เป็นการทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้เป็นการไล่เช็กบิลใคร
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า การยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีต่อ ป.ป.ช.ครั้งนี้ ไม่ถือว่านับหนึ่งใหม่ในกระบวนการของ ป.ป.ช. เพราะเท่าที่ทราบ มีพยานบางรายมาให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช.ไปแล้ว ทั้ง ก.ตร.บางท่าน และส่วนของกฤษฎีกา แต่กระบวนการเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว ตนไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม จะมีการฟ้องนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกกรณีเซ็นให้ตนเองกลับไปยังสำนักงานตำแหน่งแห่งชาติ และเรื่องเซ็นรับรองผลการประชุม ก.ตร. /คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) รวมถึงกูรูต่างๆ ขอตรวจสอบจากรายละเอียดให้รอบคอบก่อน เพราะมีเอกสารหลายอย่าง ซึ่งยืนยันว่า มีการฟ้องแน่นอน
ส่วนกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ห่วงว่า ไปไล่ฟ้องอาจโดนไล่ยิงเหมือนสมัยก่อน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ไม่ได้กังวลอะไร แค่ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ตอนนี้ก็ฟ้องร้องดำเนินคดีไปแล้วหลายคน ก็ไม่เห็นถูกยิงสักที มีเพียงโดนยิงรถในคดีเดิมเมื่อปี 2563
เมื่อถามว่า คดียิงรถ เปลี่ยนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาแล้วถึง 4 คน แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีอยู่ระหว่างการสืบสวน ตัวเองรู้ดีอยู่แล้วว่าใครทำ แต่พูดไม่ได้ เพราะจะไปเข้าความผิดหมิ่นประมาท เชื่อว่า ตอนนี้เวรกรรมก็กำลังตามทันคนที่ก่อเหตุ
ส่วนก่อนหน้านี้ ที่ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความขัดแย้งกับตัวเอง โดยบอกว่า ถ้าตายก็ยังไปเผาผี ไปร่วมงานฌาปนกิจได้อยู่ มองว่า อยากจะพูดอะไรก็พูดไป ถ้าแค่พูดเสียดสีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้าข่ายหมิ่นประมาทก็จะดำเนินคดี อย่างก่อนหน้านี้ ก็ดำเนินคดีหมิ่นประมาทไปแล้วถึง 3 กรรม แต่ฝั่งพลตำรวจเอก จรูญเกียรติ ก็เลื่อนนัดไต่สวนมาตลอด