“ทนายตั้ม” บุกยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร.ให้เร่งรัดคดี “บิ๊กต่อ-ภรรยา” กับพวก สมคบฟอกเงินเว็บพนัน อ้างไม่ใช่องครักษ์ ไม่ได้คุยกับ “บิ๊กโจ๊ก” ก่อน แต่สื่อมวลชนตาดีเห็นเจ้าตัวนำรถจอดช่องจอดรถ “บิ๊กโจ๊ก” ยันแค่เห็นที่จอดว่าง
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อให้กำชับเร่งรัดการสอบสวนคดี ที่ก่อนหน้านี้ ตนเองได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และภรรยา และบัญชีม้าอีก 2 ราย ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมี พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.กองวิจัย ในฐานะนายตำรวจเวรอำนวยการรับเรื่อง
นายษิทรา กล่าวว่า เนื่องด้วยคดีที่ สน.เตาปูน ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการเรียกใครไปแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งที่เส้นทางการเงินในบัญชีเห็นชัดเจนว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีคนในครอบครัวของ ผบ.ตร. ประเด็นนี้ตนอยากถาม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ด้วยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่รู้ว่า ผบ.ตร.ถูกดำเนินคดีรับเงินคดีเว็บพนันออนไลน์ แต่กลับไม่มีการทำอะไร และอนุญาตให้กลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม
อีกทั้งตนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อขัดแย้งที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้น เชื่อว่า ประชาชนอยากรู้ว่า การใช้เวลา 3 เดือน ในการตรวจสอบผลตรวจสอบเป็นอย่างไร ประชาชนไม่ได้อยากรู้ใครทะเลาะกับใคร ประชาชนต้องการรู้ว่าใครผิดหรือใครถูก มั่นใจว่า ทางคณะกรรมการต้องมีการเอื้อประโยชน์ให้กับ ผบ.ตร.
นายษิทรา กล่าวต่อว่า การที่ สน.เตาปูน ไม่มีการดำเนินการอะไรเพิ่มเติม ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แน่นอนว่า พนักงานสอบสวนจะต้องมีความเกรงกลัว เพราะผู้ที่เขาจะต้องดำเนินคดี คือ ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่อยู่ในระหว่างการสอบหาข้อเท็จจริง ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ต้องถูกออกจากราชการชั่วคราว แต่ ผบ.ตร.ได้กลับมาทำงานปกติ
ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า พยานหลักฐานเห็นชัดเจน ควรจะเรียกผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้แล้ว เชื่อว่า ถ้าเป็นประชาชนธรรมดาคดีนี้คงจะมีการดำเนินคดีไปแล้ว
เมื่อถามว่า หนังสือขอให้เร่งรัดในวันนี้จะถูกส่งถึงผู้บังคับบัญชาหรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ตนมาร้องตามสิทธิ ต้องตามดูว่าจะมีการสั่งการอย่างไร หลังจากที่ตนได้มีการทำหนังสือฉบับนี้จะมีข้อสั่งการ หรือ ผบ.ตร.จะเงียบหลบสื่อ
เมื่อถามว่า สังคมสงสัยว่า นายษิทรา ออกมาเรียกร้องเดินหน้าต่างๆ เป็นการทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ถ้าตนจะทำเพื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็คงไปดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ที่ลงนามคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว
ส่วนประเด็นที่คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า คำสั่งออกจากราชการไว้ก่อนมิชอบด้วยกฎหมาย นายษิทรา มองว่า ปกติแล้วศาลไม่ได้ฟังความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ถ้าสุดท้ายเรื่องนี้ผิดกฎหมายศาลก็ต้องให้ความเป็นธรรม
นายษิทรา ยังกล่าวอีกว่า การดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.จะต้องมีเกียรติมีศักดิ์ศรี หากพบว่า มีพยานหลักฐานโดยเฉพาะเส้นทางการเงินที่ชัดเจน และยังคงดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ต่อไป ก็อาจทำให้องค์กรตำรวจเสื่อมเสีย และเป็นเหมือนกันไม่เห็นหัวประชาชนที่นายกฯ จะสามารถแต่งตั้งใครขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.ก็ได้ โดยที่ไม่ตรวจสอบมาก่อน หรือขึ้นอยู่กับดีล ดังนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จึงควรลาออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.
มีรายงานว่า ในการเดินทางมายื่นหนังสือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติวันนี้ นายษิทรา ได้นำรถยนต์หรูปอร์เช่ คาเยนน์ ไฮบริด มาจอดในช่องจอดรถของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้านหลังอาคาร 1 ตร.
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงนำรถส่วนตัวไปจอดในที่จอดรถของผู้บังคับบัญชา นายษิทรา กล่าวว่า เห็นว่า ที่จอดรถว่างอยู่จึงนำรถตัวเองเข้าไปจอดเฉยๆ พร้อมยืนยันว่า การมายื่นหนังสือวันนี้ไม่ได้พูดคุยกับทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาก่อน โดยหลังจากที่นายษิทรา ดำเนินการยื่นหนังสือและแถลงข่าวเสร็จสิ้น ทีมข่าวพบว่า เลขานุการส่วนตัวของนายษิทรา ได้ทำการเคลื่อนย้ายรถออกจากที่จอดรถของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาจอดรอที่ด้านหน้าของกองรักษาการณ์แทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปกติแล้วจะไม่มีการอนุญาตให้รถยนต์ของประชาชนทั่วไปเข้าไปจอดในช่องจอดรถยนต์เฉพาะสำหรับผู้บังคับบัญชา โดยหากมีการประสานงานมาล่วงหน้า เจ้าหน้าที่จะจัดที่จอดรถในอีกพื้นที่ให้ ซึ่งไม่ใช่ช่องจอดเฉพาะของผู้บังคับบัญชาระดับ ตร.