"สุรเชษฐ์" ยื่นป.ป.ช.เอาผิดม.157 “บิ๊กต่าย” ปมเซ็นคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อน ชี้ไม่ถูกกม. เผยเตรียมฟ้อง 1 ก.ตร. กับ 2 อดีตตร.หมิ่นประมาท ฐานรู้เยอะ อยากสอนมวย ขู่ฟ้องนายกฯ หากยังลอยตัว ไม่แก้ปัญหา
วันนี้ (24 มิ.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ขอให้ตรวจสอบพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้อำนวยการกองวินัย และผู้อำนวยการกองสำนักกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีลงนามคำสั่งให้ตน ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่เป็นธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ความจริงจะใช้สิทธิ์ฟ้องร้องผ่านทางศาลฯ หรือป.ป.ช.ก็ได้ แต่ขอเลือกใช้สิทธิ์ผ่านทาง ป.ป.ช. เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม เพราะบุคคลเหล่านี้กระทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ในมาตรา 120 วรรคสี่ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 2 ที่มีมติ 10:0 ว่าการให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อน ต้องมีความเห็นจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง หากการให้ออกราชการไปกระทบสิทธิ์ผู้นั้น แต่รักษาการณ์ ผบ.ตร.กลับใช้อำนาจผิด และผิดพลาด ซึ่งมาจากความเร่งรีบ เพราะมีเจตนาพิเศษให้ตนเองออกจากราชการ เพราะฉะนั้นผู้เซ็นคำสั่งต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ ซึ่งหากจะเล่นงานตนจริง ๆ ก็ต้องกลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง คือต้องเพิกถอนคำสั่งที่มิชอบ หากจะต้องการเล่นงานตนเองต่อก็ต้องทำให้ถูก
ส่วนที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ชี้แจงว่าไม่รู้ว่าไส้ใน หรือข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ต้องรู้ เพราะในหนังสือที่นายกรัฐมนตรีได้ส่งตัวตนเองกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ระบุว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จึงต้องส่งตนเองกลับ และจากนั้นก็มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ทั้งนี้หากพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ยอมมาขอโทษ หรือมาพูดคุยกัน ตนก็ยอมรับ แต่ต้องมีการพูดคุยกัน เพราะตนต้องการให้องค์กรตำรวจสงบ
ในขณะที่คดีทางอาญาของตนเอง และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์นั้น ขณะนี้อยู่ที่ ป.ป.ช.หมดแล้ว ก็ต้องปล่อยเป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ ยืนยันว่า หากได้กลับไปสำนักงานตำรวจ จะไม่มีการล่าหัว ล้างแค้นใคร แต่จะกลับไปทำงาน ซึ่งเป็นสิทธิ์ของตน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าต้องใช้อำนาจในการดำเนินการ เพราะเคยมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2482 ว่า หน่วยงานราชการใดที่หารือคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องไปปฏิบัติตาม ซึ่งปัจจุบันยังใช้อยู่ เพราะฉะนั้นหากนายกรัฐมนตรียังละเลย หรือเพิกเฉยอยู่ ตนก็จะใช้สิทธิ์ในการฟ้องร้องเช่นกัน ยืนยันว่าไม่ได้ขู่ แต่ทำจริงมาตลอด ซึ่งการเป็นผู้บังคับบัญชาต้องมาแก้ปัญหา อย่าทำลอยตัวไม่ได้ ต้องกล้าตัดสินใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ส่งเรื่องกราบบังคมทูลเกล้า ให้ตนออกจากราชการก่อน กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ทำให้สื่อถึงว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย โดยตนไม่กลัวว่านายกรัฐมนตรีจะโกรธหรือไม่ เพราะตนพูดในหลักการของกฎหมาย และฟ้องในตำแหน่ง
ในขณะที่วันพรุ่งนี้ตนจะยื่นหนังสือถึงพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าตน และนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้ทำงานร่วมกันเป็นคู่ขนานนั้นยืนยันว่า ไม่มี เพราะตนไม่ได้ติดต่อกับทนายตั้ม ตั้งนานแล้ว การดำเนินการของทนายตั้ม เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยว และไปสั่งอะไรไม่ได้
ส่วนกระแสข่าวที่บอกว่านายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เข้ามาช่วยเหลือตนในเรื่องของกฎหมายนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า อาจารย์วิษณุ ไม่ได้เข้ามาช่วย เพราะอาจารย์เป็นคนของแผ่นดิน ของประเทศ หากช่วยเหลือตนอาจารย์วิษณุก็จะเสียหาย แต่อยากให้ดูว่าในคณะกรรมการกฤษฎีกามีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น อาทิ ประธานศาลฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นนักกฏหมายทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร.ด้วย แต่หากคณะกรรมการดังกล่าว วินิจฉัยยืนตามคำสั่งเดิมของรักษาการณ์ ผบ.ตร.ตนก็จะไปร้องศาลปกครองต่อ เชื่อว่าเรื่องนี้จะใช้เวลาไม่นาน เพราะเป็นเรื่องข้อกฎหมาย พร้อมกับย้ำว่า ขณะนี้ตนเองยังเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
นอกจากนี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เตรียมยื่นเรื่องฟ้องศาลฯ ในข้อหาฐานหมิ่นประมาทกับ ก.ตร. 1 คน และอดีตตำรวจ 2 คน เพราะอยากจะสอนมวยพวกกูรูที่รู้เยอะ ภายในสัปดาห์นี้