ส.ส.ปชป.ทุบงบ 68 ขี้ฮก ขี้เหร่ ฉะโวตอนงบ 67 จะทำคนไทยรวยแต่ผ่านมา 7 เดือน ศก.ทรุดหนัก ผุดฉายา “นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ” 2 ปีกู้เกือบ 2 ลล. ชี้แจกเงินอืด สุดใจดำขยักจ่ายงบฉุกเฉินไว้แจกดิจิทัลฯ อัดนายกฯตัวดีทำหุ้นดิ่ง จวกงบนิรโทษสารตั้งต้นชาติแตกแยก บี้รวบ 3 คดีหรือไม่
วันนี้ (19มิ.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนเป็นห่วงต่อสภาพการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งระดับมหภาคและภาคประชาชน และการไม่รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐบาล ในปีงบประมาณ67 ตนเคยตั้งให้เป็น “งบเป็ดง่อย” เพราะรัฐบาลใช้เวลารื้องบของรัฐบาลชุดที่แล้วได้ทำไว้ทำให้ล่าช้าไป7 เดือนบวกกับประสิทธิภาพการใช้งบทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เฉพาะงบลงทุน8 เดือนแค่ 51 เปอร์เซนต์ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในปี67 โตต่ำกว่าเป้าที่กำหนดไว้ในพรบ. และเอกสารงบประมาณที่ว่าจะทำให้โต 5.4 เปอร์เซนต์ รวมเงินเฟ้อ 4 เปอร์เซนต์กว่า แต่ก็ยังไม่ถึงที่กำหนด ทุกสำนักประเมินตรงกันว่าอย่างดีได้แค่ 2.5 เปอร์เซนต์ แม้แต่รัฐมนตรีคลังก็ยังยอมรับว่าปีนี้โอกาสเศรษฐกิจจะโตแค่ 2.5 เปอร์เซนต์ แต่จะพยายามทำให้ได้ 3 เปอร์เซนต์ และ 2.5 เปอร์เซนต์ที่ว่าแม้จะรวมดิจิทัล วอลเลต เข้าไปจะทำให้โตแค่ 0.25 เปอร์เซนต์ โดยการประเมินจากสภาพัฒน์ ซึ่งหากทำจริงจะโตเต็มที่ แค่2.75 เปอร์เซนต์
นายจุรินทร์กล่าวว่า มาถึงงบปี 68 ถือเป็นฉบับที่สองของรัฐบาลชุดนี้ที่ทำเอง 100 เปอร์เซนต์ โดยไม่มีฐานรากมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่มีข้อน่าสังเกตคือใส่งบดิจิทัลวอลเลตในงบกลาง 1.5 แสนล้านบาท โดยงบ 68 ตั้งเงินรวมไว้ 3.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 7.8 เปอร์เซนต์ จากที่ตนดูภาพรวมทั้งขี้งฮก ขี้เหร่ เพราะนายกฯเคยให้สัญญากลางสภาตอนพิจารณางบ ปี 67 วาระหนึ่งว่าต่อไปจะทำ 4 เพิ่ม 1 ลด คือเพิ่มรายได้ให้ประเทศ และจะลดการขาดดุลงบประมาณลงมา แต่เมื่อดูลึกลงไปในรายละเอียด งบปี 68 กลายเป็นละครคนละซีรี่ย์ เหมือนเห็นสภาเป็นศาลาโกหก
นายจุรินทร์กล่าวอีกว่าหากดูลึกลงไปยิ่งพบว่าอีกรายละเอียดไม่ได้งดงามอย่างที่นายกฯอภิปรายต่อสภา พบความขี้เหร่ซุกซ่อนอยู่มากมาก ยกตัวอย่าง 5 ประเด็น คือ 1. รายได้สุทธิปีที่แล้วคิดเป็น 80.1 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณทั้งหมด แต่ปีนี้เหลือแค่ 76.9 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวฟ้องว่าไม่ตรงกับที่นายกฯสัญญากับสภาไว้ โดยเฉพาะประสิทธิภาพการเก็บรายได้ของปีนี้ 7เดือนยังเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า 3.9 แสนล้านบาท 2.การขาดดุลงบประมาณ นายกฯสัญญาจะลดการขาดดุลงบประมาณลงมาในปี68 แต่ปรากฏว่านอกจากไม่เท่าเดิมแล้วยังเพิ่มการขาดดุลมหาศาล เพราะงบ ปี 68 ขาดดุลมากกว่างงบปี 67ถึง 8.6 แสน ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.เปอร์เซนต์ คือ1ใน4 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด นายกฯอาจจะอ้างว่าต้องเอาไปทำดิจทัล วอลเลต แต่ใส่มาแค่ 1.5ล้านล้านบาท แต่นี่ขาดดุล 1.7ล้านล้านบาท ดังนั้นเอาไปลดก็ยังขาดดุลเพิ่มกว่าปีที่แล้วถึง 20,000 ล้านบาท
“ที่ขี้เหร่ที่สุดคือ ปรากฏว่างบปีนี้ขาดดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 4.42เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีประเทศเกือบชนเพดานวินัยการเงินการคลังเหลืออีกแค่ 40 ล้านบาทเท่านั้นชนเพดานหัวแบะ แต่ที่ขี้”เหร่ของความขี้เหร่”คือภายใต้รัฐบาลนี้ถ้าอยู่ครบวาระ4ปี ยังจะคิดจัดงบประมาณขาดดุลต่อไปอีกตลอดอายุรัฐบาลนี้ส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นตลอด4ปี และจะเพิ่มขึ้นทุกปีโดยดูได้จากแผนการคลังระยะปานกลางปีงบ68ถึงปี 71 ฉบับทบทวนที่ ครม.เพิ่งมีมติอนุมัติไป2 เมษายน ตัวเลขชัดเจนคือ ปี 67 กำหนดหนี้สาธารณะจะเป็น 65.06 เปอร์เซ็นต์ ต่อจีดีพี ปี 68 เป็น 66.9เปอร์เซ็นต์ ปี 69 เป็น 67.53เปอร์เซ็นต์ ปี 70 เป็น 67.57 เปอร์เซ็นต์ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นภาระที่จะเกิดกับประเทศ”
นายจุรินทร์กล่าวว่า 3.เงินกู้ 2 ปี โดยงบปี67-68 รัฐบาลต้องกู้มาชดเชยขาดดุลรวม 1.5 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมกู้มาแจกหรือดิจิทัลวอลเลต ใส่ลงไปในงบ 68 จำนวน1.5 แสนล้าน ดังนั้นยังต้องเหลือเงินไปกู้มาแจกเพิ่ม3.4แสนล้านบาท รวมแค่สองปีของรัฐบาลชุดนี้จะกู้เงิน 1.9ล้านล้านบาท หรือตัวเลขกลมๆ เกือบ2 ล้านล้านบาท
“ปีที่แล้วผมตั้งฉายานายกฯเป็น “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” ปีนี้เห็นทีจะต้องให้เป็น “นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ” คือยังกู้หนักเหมือนเดิมและกู้หนักกว่าเดิม แต่เวลาใช้หนี้จะเห็นว่า ปี 68 ก่อหนี้ 2ล้านล้านบาทแต่ ตั้งงบใช้หนี้เงินต้นไว้แค่ 1.5 แสนล้านไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของหนี้ที่ก่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่าจะพอกพูนเป็นภาระของประเทศในอนาคตตอนพ้นรัฐบาลนี้แล้ว “
4.การตั้งตัวเลขจีดีพีสูงเกินจริงเพราะงบ ปี 67 ตั้งจีดีพีไว้ 5.4เปอร์เซนต์ ตอนนี้สารภาพบาปแล้วจากเอกสารงบ ปี 68 ลดเหลือ 4.1เปอร์เซ็นต์ มีการเอาฐานที่สูงกว่าความจริงมาประเมิน ดังนั้นจีดีพี ปี 68 ที่บอกว่าจะได้ 4.9เปอร์เซ็นต์ มันก็เป็น “จีดีพีฟองสบู่ “ซึ่งตนเข้าใจว่าต้องการให้เจือสมกับสิ่งที่นายกฯพูดว่าจะทำจีดีพีโตปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ เลยใส่ไปแบบนี้ แต่ทุกสำนักเขาประเมินเหมือนกันว่าจะโตได้แค่ 3เปอร์เซ็นต์ แม้แต่สภาพัฒน์ฯซึ่งเป็นหน่วยงานทางการของรัฐบาลเองก็ตาม
5. เรื่องดิจิทัลวอลเลตจากรัฐบาล”เรือธง”วันนี้ กลายเป็นรัฐบาล “เรือเกลือ”ไปแล้ว ที่สัญญาว่าจะทำทันทีเวลาล่วงเลยมาเท่าไหร่ เมื่อพรรคการเมืองไปสัญญากับประชาชนไว้แล้วต้องมีความรับผิดชอบ ล่าสุดรัฐบาลแถลงเรื่องดิจิทัลวอลเลต3.ข้อ คือ 1.จะแจกแน่ในไตรมาส4 ปีนี้1 ต.ค. 67 เป็นต้นไป 2.เวลาแจกจะไม่แบ่งก้อน แต่จะแจกรวดเดียว 5แสนล้านบาทแปลว่าถ้าไม่ได้เงิน5แสนล้านบาทก็จะไม่แจกใช่หรือไม่ และ3.เงินที่จะเอามาจากงบปี 68จำนวน1.5 แสนล้านบาท งบปี 67 ที่สภาอนุมัติไปแล้ว 1.7 แสนล้านบาท และจะไปเอาจากธกสอีก 1.7แสนล้านบาท รวมสามก้อน 5แสนล้านบาท คำถามคือแปลว่าจนวันนี้รัฐบาลยังไม่มีเงินซักบาทเดียวถูกต้องหรือไม่? เพราะงบปี68 ยังต้องรอผ่านสภางบปี 67 ยังไม่ได้ขอมาเลย เพราะต้องออกพ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติม ส่วนธกส.ก็ยังไม่ได้ยืมสักบาท และที่บอกว่าจะเอาจากงบ ปี 67 จำนวน 1.7แสนล้านบาท เห็นว่าพ.ร.บของบปี 67 เพิ่มเติมที่จะเข้าสภาเดือนหน้าขอมาแค่ 1.2แสนล้านบาท แปลว่ายังขาดอีก 5.3หมื่นล้านบาทไปเอามาจากไหน มีคนนินทาว่าสุดท้ายคงไปเอามาจากงบฉุกเฉิน ปี 67 ที่ตั้งไว้ 9.9หมื่นล้านบาท
“ที่พบพิรุธคือเบิกจ่ายงบฉุกเฉินปีนี้ต่ำมาก มีคนบอกว่าเบิกจริงแค่หลักพันล้าน แสดงว่าเป็นความตั้งใจยอมให้ใช้งบให้เหลือเงินฉุกเฉินเยอะๆ เพื่อเอาไปแปลงเป็นเงินดิจิตอลวอลเลต กู้มาแจกให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพรรคการเมือง ถ้าทำแบบนี้จริงรัฐบาลนี้ใจดำมาก เพราะพยายามไม่ใช้เงินปี 67 ส่งผลให้จีดีพีในปี67ต่ำเตี้ยหนักเข้าไปอีกเพียง เพื่อให้เหลือเงินไปสนองพรรคการเมือง รัฐบาลต้องตระหนัก และหากทำจริงสิ่งที่ผมพูดไว้ก็ไม่ผิดเกินไป และถ้าเอามาได้จริงจะต้องออกกฎหมายอีกฉบับเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากงบปี67มาใช้เพื่อกู้มาแจก สุดท้ายต้องออกกฎหมายถึง4ฉบับ ไม่รวมงบจากธกส. แล้วมันจะไม่กลายเป็น”เรือเกลือ”ได้อย่างไร”
ส่วนเงิน ธกส.ที่จะเอามา 1.7 แสนล้านบาท นักเศรษฐศาสตร์ และ นักกฎหมายพากันยืนยันว่าเอามาแจกไม่ได้ เพราะมันหมิ่นเหม่ผิดกฎหมายเขาะมีไว้ดูแลเกษตรกรเท่านั้น จะเอาไปให้รัฐบาลกู้เวียงแหแบบ”เฮลิคอปเตอร์มันนี่”มันทำไม่ได้ ซึ่งวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้ว่าสุดท้ายทำได้หรือไม่ เพราะจนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ถามไปยังกฤษฎีกาว่าเงินที่จะไปเอาจากธกส.มานั้นใช้ได้หรือไม่ รัฐบาลมีเวลาไม่รู้กี่เดือนแล้วแต่ไม่ถามกลับเอางบปี68มาขอก่อน เหมือนเอาหน้ามาทำหลัง เอาหลังไปทำหน้าตั้งใจที่จะมาลักไก่กับสภาต่อหน้าประชาชน และถ้าสภาอนุมัติไปวันนี้วันหลังไปถามกฤษฎีกาแล้วเขาบอกว่าใช้ไม่ได้จะทำอย่างไร ที่สภาอนุมัติก็เป็นหมันสุดท้ายกู้มาแจกไม่ได้ ตนจึงขอตำหนิรัฐบาลและบอกมาตลอดว่าสุดท้ายดิจิตอลวอลเลตอนาคตยังเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“สิ่งที่ที่ผมพูดมาทั้งหมดเพื่อแสดงให้เห็นว่างบ ปี 68 เป็นเหมือนงบเป็ดขี้เหร่ เพราะทั้งหลอกสภา ทำสัดส่วนรายได้สุทธิน้อยกว่าเดิม ทำงบขาดดุลมากสุดในประวัติศาสตร์ จะกู้มากขึ้นตลอดอายุรัฐบาล วาดฝันจีดีพีฟองสบู่ ลักไก่งบกู้เพื่อมาแจก”
นายจุรินทร์กล่าวว่า ที่สำคัญไม่แพ้กันคือรัฐบาล 2 ปีจะใช้งบประมาณ 6.738 ล้านล้านบาท แต่ผลงานไม่ประทับใจจอร์จเลย ผลสัมฤทธิ์ที่ปรากฏออกมาสวนทางกับตัวเลขที่ขอไป จากผลสำรวจโพลต่างๆเช่นนิด้าโพลที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชนจากหลายเดือนที่ใช้เงินมหาศาล มีคนพอใจแค่ 32 เปอร์เซ็นต์ ไม่พอใจถึง 66เปอร์เซ็นต์ ต่างกันเท่าตัว รัฐบาลอ้างโพลสำนักงานสถิติแห่งชาติ แต่ตนอยากให้ดูคำถามสิ่งที่ประชาชนต้องการให้เร่งแก้ไขใน 3ลำดับแรก สูงสุดคือปัญหาเรื่องค่าของชีพ ค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันตามลำดับ นายกฯเคยพูดในสภาตอนพิจารณางบ ปี 67 ว่าจะทำให้คนไทยรวยขึ้นสามเท่าใน4ปี ซึ่งจะทำได้หรือไม่อยู่ที่3.ปัจจัยหลักคือรายได้ รายจ่าย และภาระหนี้สินของประชาชน แต่เมื่อดูวาระแห่งชาติของรัฐบาลที่กำหนดไว้ตีปี๊บใหญ่โตเอาเข้าจริงมันไม่สัมฤทธิ์ผล หลายอย่างห่างเป้ามากเช่นหนี้นอกระบบ ที่นายกฯบอกว่ามี 5หมื่นล้านบาท จนถึงวันที่ 20 ก.พ. 67 ปิดรับลงทะเบียน สามารถลดหนี้ได้ 1.3 พันล้าบาท แค่ 2.4% ของมูลหนี้ทั้งหมด แล้วจะทำให้คนไทยรวยขึ้นได้อย่างไร แต่ตนขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ให้ทำต่อไปเพราะที่ผ่านมายังเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่
นายจุรินทร์ยังกล่าวว่ารัฐบาลชุดนี้ยังซ้ำเติมประชาชนในสิ่งที่เป็นนโยบายบาป ทั้งหวย 3ตัว บ่อนบนดิน หรือคาสิโน หนักขึ้นไปอีกวันนี้มีทั้งหวยลอตเตอรี่ หวยเกษียณ เพิ่มมาอีกคือ หวยสามตัวหรือ หวยเอ็นสาม ประชาชนฝากมาบอกว่าจะตั้งฉายาเป็น “รัฐบาลสามหวย”แล้ว แต่ตนสนับสนุนหวยเกษียณเพราะเป็นการเพิ่มการออมของประชาชนและต่อยอดกองทุนการออมแห่งชาติ แต่หวยสามตัวหรือหวยบนดินตัวใหม่น่าเป็นห่วงว่าจะซ้ำเติมประชาชน เพราะมีรวยขึ้นไม่กี่คนที่เหลือจนลงหมดแล้วจะรวยขึ้น3เท่าใน4ปีได้อย่างไรขอให้ทบทวนด้วยหาทางเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายประชาชนด้านอื่น
นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงการเมืองว่าก่อนหน้านี้มีคนถามเรื่องหุ้นตก ตลาดหลักทรัพย์ดิ่งเหว นายกฯบอกเป็นภาคการเมืองในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ขอถามว่าแล้วใครเป็นคนทำให้การเมืองเกิดปัญหาคือ 1.การปรับครม. ใครเป็นคนปรับถ้าไม่ใช่นายกฯ มีการเปลี่ยนคนใช้งบประมาณ ปี 67 และงบ ปี 68 แค่ปรับแบบต่างตอบแทนหนึ่งมาเป็นต่างตอบแทนสองเท่านั้น สุดท้ายจึงติดลบมากกว่าติดบวก ปรับครม.ทันทีมีรัฐมนตรีลาออกถึง3คนจนนำไปสู่การส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งจะโทษ40 ส.ว. ไม่ได้เพราะเขาทำหน้าที่ แต่เขาทำไม่ได้ถ้านายกฯไม่ปรับครม.แบบนี้ ทำให้เสถียรภาพของครม.ชุดนี้รัฐมนตรี 30 กว่าคนถูกเอาผ้าขาวม้าแขวนคอห้อยแต่งอยู่บนเพดานไม่รู้ว่าสุดท้ายจะรอดหรือจะร่วง จึงเป็นการเมืองที่เกิดจากรัฐบาลแล้วไปกระทบเศรษฐกิจและอื่นๆ
2.เรื่องนายกฯสองคนยังมีคุกคามตามหลอนด้อยค่านายกฯอยู่จนถึงวันนี้ และลามไปถึงการเมืองระหว่างประเทศที่กระทบมหาศาลกับไทย นายกฯเองก็ไม่กล้าทำอะไร ดังนั้นเรื่องนี้รัฐบาลต้องตระหนัก รัฐนาวาไทยวันนี้ถ้าเป็นรถยนต์ก็เหมือนกับรถที่มีหนึ่งพวงมาลัยสองคนขับ ที่หน้าหวาดเสียวที่สุดคือแม้จะนั่งเก้าอี้คนละตัว แต่ปรากฏว่าจับพวงมาลัยอันเดียวพร้อมกันสองคน น่าหวาดเสียวสำหรับคนไทยและประเทศไทยหรือไม่
นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงเรื่องพ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่าเป็นเรื่องปัจจุบันและกำลังจะเป็นอนาคต เพราะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินถึงจะทำได้ ทั้งงบสภาและงบรัฐบาล ที่สำคัญจะมีผลกระทบมากต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทยในอนาคต เพราะพ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นสารตั้งต้นสำคัญตัวหนึ่งที่จะพาประเทศไปสู่ความปรองดอง หรือนำพาประเทศไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ตนขอถามนายกฯหรือใครจะช่วยตอบก็ได้ในฐานะที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภา คือ 1.รัฐบาลมีนโยบายจะเสนอหรือสนับสนุนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ 2.จะสนับสนุนการนิรโทษกรรมที่รวมคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 157 และ คดีมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ เพราะมาถึงวันนี้บางคนในรัฐบาลเสียงเริ่มแตก ตนเป็นห่วงว่าหากมีพ.ร.บ.นี้จะเปลี่ยนจากนิรโทษกรรมเพื่อความปรองดอง ถูกเปลี่ยนพันธุกรรมไปเป็นนิรโทษกรรมอำพรางหรือไม่ เพราะอดีตเคยสอนมาแล้วจากนิรโทษกรรม”ครึ่งเข่ง”กลายเป็นนิรโทษกรรม “ยกเข่ง”และสุดท้ายบ้านเมืองเสียหายยับเยิน อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าตอนลงมติงบประมาณวาระหนึ่งคงผ่านสภาแน่นอน เพียงแต่วาระสามอาจต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ