เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นคนละเรื่องจนน่าแปลกใจ กับการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งกลายเป็นแรงกระแทกกลับมาในเชิงลบมากขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันยังกลายเป็นตัวฉุดรัฐบาลให้ดำดิ่งลงไปอีก เพราะหากเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ที่นายทักษิณ เคยเป็นแม่เหล็กดึงดูดความนิยม แต่ในตอนนี้เมื่อขยับตัวคราวใด ทุกอย่างกลับออกมาเป็นตรงกันข้าม
เพราะรับรู้กันว่า เขาเป็นทุกอย่างของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แต่ที่ผ่านมาได้มีการเคลื่อนไหวอย่างถี่ยิบ เดินสายในทาง “การเมือง” ไปเหนือ ล่องใต้ หรือแม้แต่ล่าสุด “ตั้งใจ” ไปพบมวลชนผู้สนับสนุนเพื่อช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี แต่ดูจากบรรยากาศอย่างละเอียดแล้ว มันไม่ “อลังการ” เหมือนเดิม
ตรงกันข้าม กลับเห็นถึงความแตกแยก “แบ่งฝ่าย” กันอย่างชัดเจนในกลุ่มมวลชน รวมไปถึงผู้สมัคร ที่ตอนนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันสนับสนุนอย่างชัดเจน เพราะอย่างที่รู้กันก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ให้การสนับสนุน คือ นายชาญ พวงเพ็ชร์ กับอีกฝ่ายคือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่สมัครในนามกลุ่มคนรักปทุม
หากมองจากแบ็กกราวด์ จะว่าไปแล้ว พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็คือ “ลูกน้องเก่า” ของนายทักษิณ ที่เทิดทูนกันแบบ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” รับรู้กันทั่ว ขณะที่ นายชาญ ในอดีตก็เคยเป็นคนของพรรคภูมิใจไทยมาก่อน ก่อนที่จะแปรภักดิ์ กลับมาซบเพื่อไทย หลังจากต้องหมางใจกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ในช่วงการเลือกตั้งส.ส.เมื่อปี 66 แต่ความหมายก็คือ นายชาญ ไม่ใช่ “ลูกหม้อ” พรรคเพื่อไทย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ ฝ่ายคำรณวิทย์ จากเดิมที่เคยเป็น “ลูกน้อง” นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย มาก่อน แต่เมื่อเกิดไม่ลงรอยในเรื่องผู้สมัคร ส.ส.คราวก่อน ก็ต้องหันเห มาที่พรรคภูมิใจไทย และ จนกระทั่งมาเป็นพันธมิตรกับพรรคก้าวไกลในเวลานี้ และนี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ พรรคก้าวไกล ไม่ส่งผู้สมัคร นายกอบจ.ปทุมฯ ในครั้งนี้
แต่ความหมายก็คือ ความไม่เป็นเอกภาพของมวลชน ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้เวลานี้ทุกอย่างจึงดูอ่อนแรง ไม่เหมือนเดิม
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในภาพใหญ่ที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ในช่วงที่ผ่านมา ที่มองว่าไม่ได้เกิดแรงกระเพื่อมในทางบวกกับทั้งพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมีแต่ถดถอย พิสูจน์ให้เห็นภาพเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่ามัน “ไม่กระเตื้อง” ขึ้นเลย นั่นคือ จากผลสำรวจเจ้าเก่าอย่าง “นิด้าโพล” ที่สอบถามเกี่ยวกับความพอใจของรัฐบาลในรอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา
“นิด้าโพล” เผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ขอถามบ้าง …9 เดือน รัฐบาลนายกฯเศรษฐา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 มิถุนายน 2567
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 9 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ เพราะการบริหารจัดการในเรื่องต่างๆ ล่าช้า และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม รองลงมา ร้อยละ 31.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย เพราะ ไม่มีความก้าวหน้าในการทำงานและไม่สามารถทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ
ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย เพราะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น ผลงานยังไม่ชัดเจน แก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ รองลงมา ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะการทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะ มีประสบการณ์ในการทำงาน มีทักษะด้านการบริหาร สามารถทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นได้ ร้อยละ 5.42 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก เพราะ รัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา มีการบริหารที่ดีสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ผลสำรวจดังกล่าวมันสะท้อนให้เห็นชัดว่า เมื่อรวมเอาสองเรื่อง คือ “ไม่ค่อยพอใจ” กับ “ไม่พอใจเลย” มีเปอร์เซ็นต์สูงมาก ขณะที่ “ความพอใจ” กลับต่ำจนน่าใจหาย
แน่นอนว่า หากมองกันแบบทั่วไป อาจมองได้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันนัก ระหว่างพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ชินวัตร แต่หากมองย้อนกลับไปในอดีต ที่พวกเขาควบคุมเบ็ดเสร็จ ก็ไม่มีทางจะออกมาแบบนี้แน่นอน แต่เมื่อผลการสำรวจออกมาอย่างที่เห็น มันก็สะท้อนให้เห็นชัดว่า “บารมี” และความนิยมของเขาลดลงอย่างมาก
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นอีกอย่างก็คือ การผลักดันให้ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาว เป็นนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงการสนับสนุนให้สร้างผลงานต่างๆ ในรัฐบาล แต่กลายเป็นว่าผ่านมานานนับปีแล้ว ความนิยมยังไม่กระเตื้อง เพราะนี่เป็นทายาทโดยตรง ไม่ต้องผ่านใคร กลับไม่เป็นไปตามคาด และหากพิจารณาถึงแนวโน้มในอนาคต ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาได้เลย
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดก็คือ ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หากผลออกมาพ่ายแพ้อีก หรือ หากชนะแบบฉิวเฉียด แค่นี้ก็เสียหายแล้ว หากผลออกมาแบบที่ว่า มันก็ย่อมส่งผลกระทบไปถึงขวัญกำลังใจของบรรดา “ลูกหาบ” รวนไปทั้งขบวนแน่นอน
สำหรับ นายทักษิณ แล้วนับจากนี้ เชื่อว่า การขยับตัวของเขาจะ “ยาก”ขึ้น เพราะกลายเป็นว่า ยิ่งขยับยิ่งกลายเป็นผลลบ และที่สำคัญยังมีผลจากคดีความที่เขากำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะคดีความผิด มาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดนัดสั่งฟ้องในวันที่ 18 มิถุนายน นี้ ก็จะกลายเป็นชนักปักหลังทำให้เคลื่อนไหวลำบากขึ้นไปอีก อีกทั้งการออกมาเปิดศึกกับกลุ่ม “อำนาจเก่า” พวก “คนอยู่ในบ้านป่า” ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ป.ประวิตร” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ อาจหมายรวมไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เขากล่าวหาว่า “เข้ามาวุ่นวาย”
เพราะการออกมาพูดแบบนี้ของเขา มันก็เหมือนกับการเปิดศึกกันอย่างเปิดเผย และลักษณะที่แสดงออกมา ก็ไม่ต่างจากการฟ้องสังคม และการอ้างว่าเขา “ถูกยัดข้อหา” ความหมายก็คือ เรียกร้องให้คนอื่นเข้ามาช่วยเหลือป้องกันไม่ให้ล้ำเส้น เนื่องจากแบกรับไม่ไหวแล้วประมาณนั้น เพราะท่าทีแบบนี้ ไม่ค่อยได้เห็นนัก
ดังนั้น นาทีนี้สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร หลายอย่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะการถูกฟ้องคดีความผิด มาตรา 112 ทำให้เขาขยับตัวลำบาก ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า และเมื่อพิจารณาจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆรอบตัวมาประกอบก็ยังมองไม่เห็นวี่แววในทางบวกให้เห็นเลย !!