เมืองไทย 360 องศา
ก่อนอื่นก็ต้องออกตัวก่อนว่า การวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลจะเกิดขึ้นหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย ผลจะออกมาอย่างไรนาทีนี้ยังไม่อาจทราบได้ เพียงแต่ที่ผ่านมามีการประเมินถึงความเสี่ยงที่ออกมาทั้งทางบวก หรือลบ และจากท่าทีของคนในพรรคก้าวไหลเองก็เหมือนจะรู้ชะตากรรมดี และเตรียมหาทางออกเอาไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ดี หากผลออกมาในทางลบ นั่นคือ เกิดการยุบพรรค มีหลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์ว่าจะส่งผลให้พรรคก้าวไกล (ในชื่อใหม่) ยิ่งเติบโตแบบก้าวกระโดด จนชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย ถึงขั้นที่ว่าจะได้ส.ส.มากเกินครึ่ง คือเกิน 250 ที่นั่ง แต่ก็มีหลายคนที่แย้งว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะจะว่าไปแล้วเวลานี้ถือว่า พรรคก้าวไกลถึงจุดพีกสุดแล้ว บรรยากาศก็เปลี่ยนไป จาก “เผด็จการ 3 ป.” ประเภท “มีลุงไม่มีเรา” ได้จบไปแล้ว จะกลายเป็น “มีทักษิณ-เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง” ไม่มีเรา มันก็ไม่น่าจะใช่
และที่ผ่านมา เสียงของฝ่ายที่เรียกว่าอนุรักษ์นิยมแตกแยก กระจัดกระจาย แต่การเลือกตั้งครั้งต่อไป เชื่อว่าน่าจะเป็นเอกภาพมากขึ้น อยากน้อยก็ต้องผนึกกำลังเพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล แต่ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับกันอยู่แล้วว่า พรรคก้าวไกล คงจะได้ ส.ส.มากที่สุด และพรรคเพื่อไทยก็ยังเป็นคู่แข่งในสนาม แม้ว่าในระดับ “เจ้าของ” จะมี “ดีลแตะมือ” กันตลอดก็ตาม แต่ในเกมก็ต้องแข่งขันไปตามน้ำ
เมื่อวกมาที่กรณียุบพรรคก้าวไกล ทำให้กรรมการบริหารชุดที่เกิดเหตุต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี โดยในจำนวนนั้น มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ นายชัยธวัช ตุลาธน ที่เคยเป็น หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรครวมอยู่ด้วย
คำถามก็คือ ยังมีใครที่พอจะมีแรงดึงดูดเท่ากับ นายพิธา จะเป็น น.ส.สิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค หรือ นายรังสิมันต์ โรม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หรือ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ อย่างนั้นหรือ ซึ่งคนพวกนี้แม้จะมีความเด่น แต่การเลือกตั้งมันต้องเลือกนายรัฐมนตรีด้วย คิดว่าพวกเขามีเครดิตถึงหรือไม่ สำหรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารดังกล่าว
แน่นอนว่าบรรดาเด็กๆ ที่เป็นฐานเสียงเหนียวแน่นก็คงต้องโหวตให้ แต่การเมืองสนามใหญ่มันก็ต้องมวลชนสนับสนุนทุกกลุ่ม อีกทั้งภาพลักษณ์ในระยะหลังเป็นพวก “ล้มเจ้า” ชัดเจน ทำให้ฐานเสียงอีกกลุ่มหนึ่งมีจำนวนไม่น้อยถอยออกมา แต่อย่างที่บอก ถึงอย่างไรพวกเขาก็น่าชนะการเลือกตั้งมากที่สุด เพียงแต่ว่าเป้าหมายเกิน 250 เสียงน่าจะเป็นเรื่องยาก
สำหรับกรณียุบพรรคก้าวไกล ที่จะทำให้พรรค “ฝ่อลง” อย่างน้อยก็เป็นการยอมรับของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เอง แม้ว่าเขาจะบอกว่าเป็นแค่ช่วงระยะสั้นๆ แต่ก็ยังมั่นใจว่าในระยะยาวจะเติบโตแบบติดเทอร์โบ
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกล ที่กำลังดำเนินอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ด้วยข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองจากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
นายพิธา กล่าวว่า ตนยังคงเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาและวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่าการกล่าวหาตนและพรรคก้าวไกลว่าเป็นกบฏหรือผู้ทรยศที่มุ่งล้มล้างการปกครองนั้นถือเป็นข้อกล่าวหาที่เกินจริง เพราะสิ่งที่ตนและพรรคก้าวไกลเสนอคือความสมดุลทางกฎหมาย ระหว่างการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
คดียุบพรรคจะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการ “ติดเทอร์โบ” (turbocharge) ให้พรรคได้แต้มต่อในแนวคิดและนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว โดยยกตัวอย่างสถานการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2563 ซึ่งทำให้พลังของพรรคอ่อนแอลงชั่วคราว แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนแบบติดเทอร์โบได้ในการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่าแนวคิดแบบก้าวหน้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้ในสภาฯ มาครองเพิ่มขึ้นเป็น 151 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ได้ 81 ที่นั่ง
“ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวคิดแบบก้าวหน้าคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อพรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆ”
นอกจากนี้ นายพิธา ยังกล่าวถึงสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล ถูกตัดสินจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ขณะเดียวกันในช่วงกลางเดือนก่อน น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 28 ปีก็เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วงระหว่างการถูกควบคุมตัวในเรือนจำก่อนการพิจารณาคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า หากพวกเราในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับอนุญาตให้อภิปรายเรื่องหลักความได้สัดส่วนของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างมีวุฒิภาวะ โปร่งใส และด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองก็จะคลี่คลายลงไปได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ผลักเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ให้จนมุม
“หากเรามีพื้นที่ในการพูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กันได้ในรัฐสภา ก็จะไม่เกิดการกดดันให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ เลือกวิธีการประท้วงที่ทำร้ายตัวเอง รวมถึงคนที่พวกเขารักด้วย” นายพิธา กล่าว
นั่นเป็นความเห็นและความเชื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดไปจากความเป็นจริงก็เป็นไปได้ เพราะทุกอย่างยังไม่เกิด เพียงแต่ว่าหากพิจารณาจากสถานการณ์ และบรรยากาศมันเปลี่ยนไปแล้วแทบจะสิ้นเชิง อย่างน้อยบรรยากาศ “เผด็จการคสช.” หรือ “สามป.” เหมือนกับเวลานี้สถานการณ์กำลัง “ฆ่าเพื่อไทย” ให้อ่อนแรง จากการเป็นรัฐบาล แทนที่จะได้แต้มจากการกุมอำนาจรัฐ กลายเป็นทุกอย่างกำลังถดถอย ไม่ได้แต้มบวกเลย
แต่ขณะเดียวกันใช่ว่าพวกเขาจะไร้พิษสงไปทั้งหมด เพียงแต่อาจต้องลดขนาดลงไป พร้อมกับการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือสถานการณ์ใหม่ ที่เวลานี้เริ่มเห็นการจับมือกับ “บ้านใหญ่” ที่เป็นระดับ “ดาวฤกษ์” ในแต่ละจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร กำลังเคลื่อนไหวอย่างหนัก โดยเห็นภาพชัด ที่จังหวัดปทุมธานี และ นครราชสีมา ไปก่อนหน้านี้ นี่คือแผนตรึงพื้นที่เอาไว้ ขณะเดียวกันในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้เห็นการ “ควบรวม” พรรคหรือ พรรคพันธมิตร ก็มีความเป็นไปได้สูง และกำลังมีการเคลื่อนไหวแบบนี้มากขึ้น
ดังนั้น หากประเมินว่าหากพรรคก้าวไกลถูกยุบจริง จะทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดดหรือแบบ “ติดเทอร์โบ” นั้นเป็นเรื่องที่ชวนติดตาม แต่หากให้ประเมินจากสถานการณ์ที่เห็นมันน่าจะเป็นไปได้ยาก แม้จะยอมรับว่า พวกเขาจะชนะการเลือกตั้ง และสาเหตุที่ทำให้ไม่โตมาก และ “ตัวแปร” สำคัญก็คือคนที่มาแทนยังไม่ป๊อปปูล่าพอ ยังไม่มีแรงดึงดูดสำหรับตำแหน่งนายกฯ นั่นเอง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็กำลังปรับกลยุทธ์สู้ด้วยการจับมือกับ“บ้านใหญ่”เพื่อตรึงพื้นที่เอาไว้ให้มากที่สุด!!