เมืองไทย 360 องศา
จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายสำหรับมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ออกมาเป็นเอกฉันท์สำหรับการยื่นคำร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล เพราะนี่คือ “ไฟต์บังคับ” ต้องเดินไปทางนี้อยู่แล้ว หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 วินิจฉัยว่า พรรคก้าวไกลมีเจตนาล้มล้างการปกครองหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12มีนาคม สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกเอกสารข่าวยืนยันมติ กกต.ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย ที่ 3/2567เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 กรณี นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. เพื่อยกเลิกประมวล กฎหมายอาญา มาตรา112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตาม มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญนั้น
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์คำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยเห็นว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาผลการศึกษาและวิเคราะห์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว มีมติโดยเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยมอบหมายให้นายทะเบียน พรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องและดำเนินคดีแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 93 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน
ที่ต้องบอกว่าการยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกลของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ว่าเป็นไฟต์บังคับในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะมันเป็นเส้นทางที่ต้องเดินอยู่แล้ว หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม ระบุว่ามีเจตนาล้มล้างการปกครองฯ และมีพฤติกรรมบ่อนเซาะกัดกร่อนทำลายสถาบันฯ เพียงแต่ว่าในตอนนั้น “ผู้ร้อง ไม่ได้มีการร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล” เท่านั้นเอง ทำให้ขั้นตอนหลังจากนั้นก็ต้องเป็นหน้าที่ของ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาบ้างเล็กน้อย ซึ่งก็มีการอ้างเหตุผลว่าต้องรอศึกษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเสียก่อนเท่านั้นเอง เพราะหาก กกต.ไม่ดำเนินการส่งศาลรัฐธรรมนูญก็จะมีความเสี่ยงที่จะถูกร้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ อาจมีความผิดตามมาตรา 157 ตามมาก็ได้
ดังนั้น เมื่อพิจารณากันตามขั้นตอนแล้วหลังจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็จะพิจารณาก่อนจะวินิจฉัยว่าจะยุบพรรคก้าวไกล หรือ ไม่ ซึ่งคาดว่าคงใช้เวลาไม่นานนัก คงไม่กี่เดือนเท่านั้น เพราะเป็นข้อเท็จจริงทางกฎหมาย อาจไม่ต้องมีการไต่สวนเพิ่มเติมก็เป็นได้ ทุกอย่างเป็นเรื่อง “ต่อเนื่อง” จากการวินิจฉัยคราวก่อนเท่านั้น
ขณะที่ปฏิกิริยาจากพรรคก้าวไกล โดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรค และทีมกฎหมายได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทีมกฎหมายจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องไม่ให้เกิดการยุบพรรค และการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ประเด็นนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ชะตากรรม และอนาคตของพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพยายามพิสูจน์ ว่าสิ่งที่พรรคทำไป ไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากเราทำได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในอนาคต
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทางพรรคเองเข้าใจดี การถูกยุบพรรคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งกับหลายพรรค เราไม่อยากให้พรรคการเมืองถูกยุบเป็นเรื่องปกติ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเป็นพรรคที่มีคดีถูกยุบพรรคอยู่ อย่างกรณีพรรคภูมิใจไทยที่สังคมความสนใจอยู่ แม้จะมี สส. พรรคก้าวไกลเป็นผู้เปิดโปง เรื่องของการทุจริตที่เกิดขึ้นกับบริหารพรรค แต่บทลงโทษที่เหมาะสมคงไม่ใช่การยุบพรรค ควรลงโทษที่ผู้บริหารพรรค
เมื่อถามว่ามีการสร้างพรรคสำรองไว้หรือไม่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรามีการรับมือ และวางแผนทุกฉากทัศน์อยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งด่วนพูดถึงสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความจริงเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันที่จะเกิดการวินิจฉัยคำตัดสินออกมา สส. และทีมงานของพรรคก็ยังทำงานเต็มที่ในการผลักดันกฎหมายความเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร แต่ทางผู้บริหารพรรค ได้เตรียมการรับมือทุกสถานการณ์หรือไม่นั้น ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน
อย่างไรก็ดีแม้ว่าไม่อยากจะคาดเดาในทางลบ แต่เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์ พิจารณาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ที่มติเป็นเอกฉันท์ว่ามีเจตนาล้มล้างการปกครองฯทุกอย่างถือว่าชัดเจนอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคราวนั้นไม่ได้มีการร้องยุบพรรคเท่านั้นเอง ดังนั้นเมื่อมีการร้องให้ยุบพรรคจากคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์มีความเชื่อแบบเดียวกัน จึงได้ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคตามมา และผลก็น่าจะออกมาตามที่คาดหมายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อไหรเท่านั้นเอง
ขณะเดียวกันหากผลออกมาให้ “ยุบพรรคก้าวไกล” ออกมาจริง มันจะสร้างแรงสั่นสะเทือนแค่ไหน เพราะจะต้องมีการตัดสิทธิ์ทางการเมืองกับกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดอีกด้วย ซึ่งหากเทียบเคียงกณียุบพรรคอนาคตใหม่ ที่ตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริพรรคคนละ 10 ปี อีกทั้งยังต้องพิสูจน์ความเชื่อที่ว่า “ยิ่งยุบ ยิ่งโต” จริงหรือเปล่า เพราะหลายคนประเมินเอาไว้แบบนั้น
แม้ว่าหากมองกันอีกมุมหนึ่งในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่กระแสของพรรคก้าวไกลกำลังแรง จนแซงพรรคเพื่อไทยของครอบครัว นายทักษิณ ชินวัตร ไปแบบขาดลอย จากบรรยากาศ “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” แบบคนเท่ากัน ขณะเดียวกันสังคมในเวลานั้นยัง “มองข้ามเรื่องล้มเจ้า” ไปแบบมองผ่าน
จนกระทั่งเมื่อเกิดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า พรรคก้าวไกลมีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีพฤติกรรมบ่อนเซาะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 112 และสำทับมาด้วยเหตุการณ์ “ป่วนขบวนเสด็จ” ของกลุ่ม “สามนิ้ว” ที่เชื่อมโยงกับพรรคมาตลอด กลายเป็นว่าสร้างความรู้สึกร่วมทำนองว่า พรรคนี้เป็น “พรรคล้มเจ้า” ทำให้มวลชนที่เคยสนับสนุน ถอยออกมาจำนวนมาก
ดังนั้นเมื่อพิจารณากันตามนี้เชื่อว่า พรรคก้าวไกล “เลยจุดพีคสุด” มาแล้ว และหากมีการยุบพรรค ทำให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์การเมืองตามมาอีก ทำให้พวก “แถวสาม” ได้ขึ้นมาก็จริง แต่ความโดดเด่น อ่อนด้วยประสบการณ์ โตมาไม่ทันขึ้นมารองรับ และที่สำคัญโอกาสที่ ส.ส.ต้องแตกฉานซ่านเซ็นโยกย้ายไปตามพรรคต่างๆ โดยให้จับตาการไหลไปพรรคเพื่อไทยให้ดี ซึ่งจะทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนไปอีกหน้า ก็เป็นได้ !!