xs
xsm
sm
md
lg

เฮ้ย! นี่แหละนิสัย “โจ๊ก” สั่งขยี้ปม "คดีพลิก" ส่งเพลง "อวยตัวเองสุดลิ่ม" ลงโซเชียลฯ เป็นตำรวจน้ำดีแต่แพ้ตำรวจน้ำลาย แหม...ทำไปด้าย ** ล้มกระดานเลือก สว. ระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอ กกต. ถอดรหัส

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**เฮ้ย! นี่แหละนิสัย “โจ๊ก” สั่งขยี้ปม "คดีพลิก" ส่งเพลง "อวยตัวเองสุดลิ่ม" ลงโซเชียลฯ เป็นตำรวจน้ำดีแต่แพ้ตำรวจน้ำลาย แหม...ทำไปด้าย

ชั่วโมงนี้ "โจ๊กสายมู" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เห็นว่าเดินสายขอมูเตลูช่วยด้วย ไม่น่าพอ พยายามดิ้นทุกท่า ทั้งจรยุทธ์บนดิน-ใต้ดิน ล้วนงัดออกมาใช้ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เพื่อหวังจะกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งให้ได้

ขณะที่บรรดาคนที่มี "คอนเนกชัน" อันดี และสื่อเครือข่ายโจ๊ก นำโดย "หมาแก่เจ้าเก่า" ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ก็ถูกสั่งให้ขยับ งับแล้วขยี้ "ปม" ที่ "วิษณุ เครืองาม" ชงหวานมาให้ จาก "ความเห็นแนบท้าย" ของกฤษฎีกา ตีความกรณี “โจ๊ก”ในฐานะรอง ผบ.ตร. ถูกให้ออกจากราชการที่ชนิดไม่ได้ถาม แต่อยากตอบ

คำถามมีเพียงสองประเด็น คือ 1. ต้องมีการโปรดเกล้าฯให้ บิ๊กโจ๊ก ออกหรือไม่ ? 2. ต้องทูลเกล้าฯ เมื่อไร ?
ทว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา ชุด “วิษณุ เครืองาม” นั่งเป็นประธานนี้ มีความเห็นแนบมาเพิ่มว่า การจะให้โจ๊ก ออกต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสอบสวนเสียก่อน

จาก "ความเห็นที่ไม่ได้ถาม" นี้ เครือข่าย “โจ๊ก” จึงพากันนัดแนะตะโกนกู่ก้อง "คดีพลิกๆๆ" นี่ไง "ชีวิตที่10" ของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กันยกใหญ่

ทั้งที่ความจริงก็รู้กัน ความเห็นเป็นเพียง "อนึ่ง" ไม่มีข้อผูกพันตามกฎหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิบัติตาม
งานนี้คนรู้เรื่องกฎหมายจึงรู้ทันเล่ห์สื่อเครือข่ายโจ๊ก ที่ตีเกราะเคาะไม้ ให้ลูกพี่คดีพลิกอย่างเต็มที่ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้
แถมเบิกเนตรย้อนกลับได้ว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นไปตาม มาตรา 131 ของพ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2565 ซึ่งมีไว้เพื่อใช้ในทางการปกครองตำรวจ

หากมีผู้ใต้บังคับบัญชาคนใด ถูกสอบสวนวินัยขั้นร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น มีอำนาจตาม มาตรา 131 ในการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

“โจ๊ก”เองก็เคยใช้มาตรานี้กับผู้ใต้บังคับบัญชามาแล้ว นี่ยังไม่นับที่ โจ๊กในฐานเป็น "รอง ผบ.ตร." ต้องคดีร้ายแรง คดีฟอกเงิน เป็นเหตุผลเพียงพอที่ รักษาการ ผบ.ตร. “พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์” จะลงนามในคำสั่งได้

จรยุทธ์ใช้สื่อหมาแก่ ว่าไปทางสื่อบนดิน ในฐานะ วัวเคยขา ม้าเคยขี่ พร้อมๆ กัน “โจ๊ก”ก็สั่งเปิดวงประสานเสียงใต้ดิน ในโลกโซเชียลฯ

ฟังว่า ตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังได้รับคลิปมิวสิกวีดีโอเพลง ชื่อ "เขานี่แหละบิ๊กโจ๊ก" ส่งต่อๆ กันทางแอปพลิเคชันไลน์

คลิปเพลงทำนองลูกทุ่ง ปรากฏชื่อนักร้อง "นพนภา ศรีจุฬาภรณ์" คำร้อง-ทำนองโดย "บิ๊กป๊อด ปัง ปัง!!" ความยาวราวๆ เกือบ3นาที นักร้องอ้าปากพะงาบๆ ไม่เนียนเป็นอวตาร AI แต่ก็ให้ความรู้สึกไปกันด้วยดีกับภาพแต่งของ “พระเอกโจ๊ก”โดย AI ที่ “ณเดชน์” ต้องหลบ ต่างกับตัวจริงที่หน้าหมองคล้ำ ในช่วงนี้

เนื้อร้องบรรยายชนิด "อวยไส้แตก" โจ๊ก ได้ฟังตัวจะลอยขึ้นฟ้าโดยไม่ต้องพึ่งกระสวยอวกาศ
เริ่มต้นมาว่า...เฮ้ย! เขานี่แหละบิ๊กโจ๊ก เขาไม่วิตกอีกแล้ว เขาไม่ใช่ลูกแมวให้ใครขยำคามือ...

ตามด้วย บอกนี่ละ ลูกหลาน "ขุนพันธ์"ตัวจริง! ... “เป็นตำรวจน้ำดีแต่แพ้ตำรวจน้ำลาย”... “เป็นตำรวจขวัญใจ แต่พ่ายตำรวจอิจฉา”...บ๊ะ

สุดท้ายเนื้อเพลงสรุป “โจ๊กเชื่อดวงชะตาของตน ถ้าดวงไม่อับไม่จน จะวนกลับสตช.”

ตำรวจหลายนายที่ได้เปิดคลิปที่เหมือนโรคระบาดนี้ฟังแล้ว "หัวร่อไม่ออก ร่ำไห้ไม่ได้" คนอะไรเป็นได้ถึงเพียงนี้
หลายๆนาย ถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ บ้างก็อยากจะหัวร่อให้งอหาย แต่เกรงเสียบุคลิกผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ บ้างก็คลื่นเหียน คล้ายจะอาเจียน ของเก่าออกมา

นี่ถ้าเพลงไม่ได้บอกว่า... เฮ้ย เขานี่แหละบิ๊กโจ๊ก... แต่แรก หลายคนก็อยากจะแชร์ต่อๆ กันให้โลกรู้ อวดศักดาตำรวจไทย
แต่พอเป็น “บิ๊กโจ๊ก”และเนื้อเพลงบรรยายแบบนี้ ที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ตำรวจทั้งสำนักงานก็พากันกลัวแชร์ต่อ มีหวังถูกโทษทัณฑ์ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ นำเข้า-เผยแพร่-ส่งต่อ "ข้อมูลอันเป็นเท็จ" อ๊ะป่าว"!

ทั่วทั้ง สตช. ลงความเห็นเป็นคลิปที่แหม...ทำไปได้ !!

ที่ “โจ๊ก” สั่งเครือข่ายขยี้ปม "คดีพลิก" ส่งเพลง "อวยสุดลิ่ม" กล่อมโซเชียลฯ ปูพรม คิดอย่างอื่นไม่ได้เลยว่า มุ่งหวังเล่นจิตวิทยาให้ป่วนอย่างเดียว... เฮ้ย!นี่แหละนิสัยโจ๊ก!

อิทธิพร บุญประคอง - แสวง บุญมี
** ล้มกระดานเลือก สว. ระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอ กกต. ถอดรหัส

กรณี “สว.สมชาย แสวงการ” ได้ออกมาแฉว่า การเลือกสว.ครั้งนี้ มีโพยก๊วนฮั้ว มีบล็อกโหวต ผลัดกันเกาหลัง ตอนนี้รู้ตัวว่าใครได้ผ่านเข้ารอบ รอไปตัดเชือกในการเลือกรอบระดับประเทศแล้วถึง 149 คน พร้อมโพสต์ชื่อย่อ ว่าเป็นใคร จากจังหวัดไหน
ทั้งๆ ที่การเลือกระหว่างผู้สมัครกันเองในแต่ละกลุ่มอาชีพ และเลือกไขว้ ในระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
แม้ชื่อย่อของผู้ที่เข้ารอบ และจังหวัด ที่นำมาโพสต์นั้น ไม่มีการยืนยัน หรือหลักฐานเชิงประจักษ์ ใดๆ ถึงข้อเท็จจริง แต่ก็ทำเอา กกต. และผู้รับผิดชอบในการเลือกสว.ครั้งนี้ ถึงกับนั่งไม่ติด

“อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต. เจอคำถามถึงเรื่องนี้ ได้แต่บอกว่า...คงไม่จริงมั้งครับ!! ตอนนี้ทางสำนักงาน กกต.กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ยังไม่มีรายงานมา เชื่อว่าไม่มีปัญหา ทุกอย่างยังเป็นไปตามไทม์ไลน์เดิม

เริ่มเลือกรอบแรก ระดับอำเภอ วันที่ 9 มิ.ย. จากนั้นวันที่16 มิ.ย. เลือกระดับจังหวัด รอบสุดท้ายระดับประเทศ วันที่ 26 มิ.ย. และประกาศรายชื่อ สว.ครบทั้ง 200 คน ในวันที่ 2 ก.ค.67

ขณะที่ “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. มองสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ว่า เปรียบเสมือน “แรงเสียดทาน” ที่เกิดขึ้นระหว่างการช่วงชิงทางการเมือง และบอกเตือนถึงพนักงาน เจ้าหน้าที่กกต.ให้เตรียมพร้อมรับมือ

เพราะในทางนิตินับ ระบุชัด พรรคการเมืองห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเลือกสว.ครั้งนี้ แต่ในทางพฤตินัยแล้ว ไม่อาจปฏิเสธว่า มีพรรคการเมืองสีต่างๆ เคลื่อนไหว วางเกมอยู่เบื้องหลังผู้สมัครบางกลุ่ม บางพวก

เลขาธิการ กกต.บอกว่า หลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือก สว. ก็ได้ติดตามดูความเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ก็มีสัญญาณมาโดยตลอดในหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น รูปแบบที่ 1 พยายาม "เลื่อน หรือ ลาก” การเลือก สว. ออกไป รูปแบบที่ 2 ต้องการ “ล้ม“ การเลือกสว. และ รูปแบบที่ 3 สนับสนุนการให้มีการ “เลือก” แต่กดดันให้ได้ผลตามเป้าหมายที่หวังไว้
ดังนั้น ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ จะต้องดูแล ป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

ด้านคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา ที่มีนายกล้านรงค์ จันทิก สว. เป็นประธาน กมธ. ก็ได้ติดตาม จับตาดูการเลือกสว.ครั้งนี้เช่นกัน และก็พบว่า มีทั้งการฮั้ว การส่งตัวแทน หลายพื้นที่มีการจ้างให้ลงสมัคร เพื่อให้โหวตพวกเดียวกัน

ส่วนกระบวนการล้มกระดานเลือก สว. หากจะเกิดขึ้นได้ ก็น่าจะมาจากการทุจริตในการเลือกสว. ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ กกต. ในฐานะผู้รับผิดชอบ ว่าจะเอาอย่างไร

ต้องไม่ลืมว่า การเลือกสว.ครั้งนี้ “โหวตเตอร์”เป็นผู้สมัครสว.ด้วยกัน ไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง สส. ที่การลงคะแนนเสียง มาจากประชาชนโดยตรง

ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นของกกต. ก็พบว่า มีผู้สมัครสว. ที่มีลักษณะต้องห้าม เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถูกจำกัดสิทธิ จำนวนทั้งสิ้น 2,020 คน เป็นชาย 1,112 คน และ หญิง 908 คน
หากยังมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติต้องห้าม ซึ่งกกต.ตรวจไม่พบ แล้วคนเหล่านี้ ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเลือกกันเอง และเลือกไขว้ ของกลุ่มอาชีพ ในระดับอำเภอ และ ระดับจังหวัด หากมีการร้องเรียน หรือตรวจพบภายหลัง แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบถึงกระบวนการเลือก ส.ว.ทั้งระบบ ...นี่เปรียบเหมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่

แล้ว กกต.จะตัดสินใจอย่างไร ?! จะต้องมีการออกเสียงกันใหม่หรือไม่ หรือ จะเลือกกันเฉพาะอำเภอ และจังหวัดที่มีปัญหา หรือ จะร้ายแรงขั้นที่ทำให้การเลือกส.ว.ทั้งประเทศ เป็นโมฆะไปเลยหรือไม่

ต้องติดตามกันว่า การเลือกสว.ครั้งนี้จะจบลงอย่างเรียบร้อย สวยหรู ได้ 200 สว.ในวันที่ 2 ก.ค.นี้ หรือจะวุ่นวาย ไร้ข้อยุติ


กำลังโหลดความคิดเห็น