สว.ถกรายงานผู้หนีภัยในเมียนมา ชี้สถานการณ์ส่อยืดเยื้อ แนะ รบ.หามาตรการรองรับเพิ่มเติม และช่วยคนไทยที่ได้รับผลกระทบ เตือนกลุ่มโซเชียลมีเดียแชร์ข้อมูลต้องระวังความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ "ถวิล” ยันไทยไม่ปล่อยให้กองทัพเมียนมาใช้ดินแดนตั้งฐานทัพได้ ย้ำวางท่าทีเป็นกลาง ชี้ฝ่ายความมั่นคงจะต้องประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ด้าน'สว.' แนะเฝ้าระวังสถานการณ์ ห่วงผู้หนีภัยทะลักเข้าไทย
วันนี้ (9 เม.ย. 67) ที่ประชุมวุฒิสภาที่มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 เป็นประธานในที่ประชุม ได้พิจารณาวาระรายงานเรื่องผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาและผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมาในประเทศไทย ที่คณะกรรมธิการการต่างประเทศพิจารณาเสร็จแล้ว
โดยนายถวิล เปลี่ยนศรี สว. ในฐานะอนุกรรมกรรมาธิการฯ แถลงผลการรายงานว่า มีผู้ลี้ภัย2 กลุ่มที่อยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวชายแดนไทยเมียนมา 9 แห่ง ประมาณ 77,800 กว่าคน ซึ่งเกิดปัญหาในการควบคุมดูแลซึ่งมีสถานะทางกฎหมายเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองที่ยังไม่สามารถส่งกลับประเทศได้ ซึ่งเป็นปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ ปัญหาการดูแลซึ่งผู้หนีภัยการสู้รบที่เกิดขึ้นใหม่อาจมีปัญหาเรื่องสัญชาติและการเลี้ยงชีพในอนาคต และยังมีปัญหาเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัญหาผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน
ที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยสู้รบในเมียนมาไทยเดินเหมือนกัน 3 แนวทาง คือ แก้ไขปัญหาที่ประเทศต้นเหตุ โดยหารือกับทางรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ในการส่งกลับมาตุภูมิ แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยในการต่อยอดเรื่องนี้ การส่งกลับประเทศด้วยความสมัครใจซึ่งมีการส่งกลับแล้ว4ครั้งรวมกว่าพันคน และส่งไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม
ขณะที่ผู้หนีภัยจากความไม่สงบจากเมียนมา นับแต่กองทัพได้เข้าควบคุมการบริหารประเทศจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมีการปราบปรามกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ความขัดแย้งได้ขยายตัวไปในหลายกลุ่ม ส่งผลให้ชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นชนชาติกะเหรี่ยงและคะยา โดยมีการเดินทางเข้ามาในไทยช่วงปี 2564 และ 2565 กว่า 10,000 คนปัจจุบันได้เดินทางกลับเมียนมาหมดแล้ว
นอกจากนี้มีข้อพิจารณาเรื่องหนึ่งว่า สถานการณ์ในเมียนมาร์ปัจจุบันไม่เอื้อต่อการส่งผู้หนีภัยจากการสู้รบกลับเข้าเมียนมาได้ อีกทั้งยังเกิดการอพยพหนีความไม่สงบของคนเมียนมาร์เข้ามา จึงมีความจำเป็นต้องแสวงหาแนวทางแก้ไขไม่ให้เป็นปัญหายืดเยื้อ แม้ว่าวิธีการแก้ไขจะอำนวยความสะดวกให้เดินทางกลับโดยสมัครใจและส่งไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามแล้ว ยังสามารถแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงได้ จึงสมควรพิจารณาหากมีมาตรการอื่นเช่นการอนุญาตให้ออกมาประกอบอาชีพได้ และการพิจารณาสถานะทางกฎหมายอย่างที่รัฐบาลไทยเคยดำเนินการต่อบุคคลที่อยู่บนพื้นที่สูง
นอกจากนี้ยังเสนอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมร่วมกันศึกษาและทบทวนแนวทางแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยสู้รบจากเมียนมาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและครอบคลุมทุกมิติโดยไม่ให้ ปัญหานี้กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง
และให้กองทัพและฝ่ายปกครองดำรงแนวทางแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมาไว้ เช่น การปฎิบัติการด้านการข่าว การควบคุมควบคุมผู้หนีภัยสู้รบในเมียนมาไว้ในพื้นที่พักรอตามหลักมนุษยธรรมแยกกลุ่ม คุ้มครองโรคระบาดเลี้ยงดูขั้นพื้นฐานและส่งกลับภูมิลำเนาในเขตเมียนมาเมื่อสถานการณ์ปลอดภัย พร้อมทั้งควบคุมดูแลกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในเมียนมาในพื้นพื้นที่ไม่ให้มีกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเมียนมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการอภิปรายของสว. ได้แสดงความกังวลและห่วงใยต่อสถานการณ์สู้รบในพื้นที่เมียนมาที่คาดว่าจะกระทบในประเด็นสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงประเทศไทย เจ้าหน้าที่ที่ดูแลศูนย์ผู้อพยพที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบร่วมด้วย จึงมีข้อเสนอไปยังรัฐบาลด้วยว่าควรบริหารจัดการผู้อพยพในศูนย์พักพิง
พล.อ.พัลลภ ตมิศานนท์ สว.แสดงความเห็นว่าการแบ่งจำแนกเรื่องผู้หนีภัยมีความซับซ้อน ระหว่างผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาและผู้หนีภัยจากความไม่สงบ โดยเฉพาะเมียนมาตั้งอยู่ระหว่างประเทศมหาอำนาจจีนกับอินเดีย บทบาทการคานระหว่างประเทศมหาอำนาจ และสถานการณ์มีการแทรกแซงจากภายนอก คาดว่าจะทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อออกไป จึงทำให้เห็นว่าผู้หลบหนีการสู้รบดังกล่าวจะลดน้อยลงได้อย่างไร แต่ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของกรรมาธิการ 2 ข้อ เรื่องการศึกษาทบทวนแนวทางแก้ไขปัญหาและให้ ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องจากการปฎิบัติการด้านการข่าวและการควบคุมผู้ลี้ภัยความไม่สงบในเมียนมาในพื้นที่พักรอตามหลักมนุษยธรรม นอกจากนี้ยังเสนอแนะถึงการประเมินสถานการณ์และแนวทางการแก้ระดับมหาภาคเพิ่มเติม ไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการหนีภัยความไม่สงบในเมียนมา
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล สว. กล่าวสนับสนุนรายงานของกรรมาธิการ โดยอ้างอิงจากการลงพื้นที่ ใกล้บริเวณศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ได้รับเสียงสะท้อนจากประชาชนชายแดนจังหวัดแม่สอดว่าถูกแย่งอาชีพและความเป็นอยู่ แม้จะมีความพยายามควบคุมให้อยู่ในค่าย และแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่าในวันนี้ไม่เห็นโอกาสที่จะลดผู้หนีภัยสงครามที่หนีเข้ามาในประเทศไทย และไทยจะมีการตั้งรับหรือจัดการปัญหาอย่างไร โดยเฉพาะผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนไทยและการค้าชายแดน ส่วนการส่งกลับหรือการส่งต่อในประเทศที่สามนั้น ยังพบว่าผู้อพยพตั้งแต่ในอดีตได้มีครอบครัวและมีประชากรเพิ่มในศูนย์พักพิงจะมีการควบคุมอย่างไร จะกระทบต่อความมั่นคงในประเทศหรือไม่
นายปานเทพ กล้านรงค์ราญ สว. อภิปรายว่าการหนีภัยสู้รบในเมียนมาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 77,000 คน และต้องยอมรับว่าเป็นภาระด้านต่างๆของประเทศไทย ทั้งค่าใช่จ่ายรวมถึงด้านสาธารณสุข และสถานที่พักพิงอยู่ในเขตป่าสงวนฯอาจจะกระทบต่อระบบนิเวศ มีปัญหาเรื่องการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้น ถือเป็นภาระที่จำยอมภายใต้หลักมนุษยธรรม และยังอภิปรายถึงเหตุการณ์ที่เครื่องบินเมียนมา บินมาจอดในประเทศไทยโดยอ้างว่ารับส่งประชาชนผู้อพยพแต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลว่าเป็นทหารระดับนายพล และเจ้าหน้าที่ด้านศุลกากร ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่รัฐบาลชี้แจงและได้รับ และเห็นว่าสถานการณ์ในเมียวดีที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นและส่งผลให้มีการอพยพหนีภัยเข้ามาอีกจำนวนมากจะเป็นภาระให้กับประเทศไทย และเห็นว่าเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานความมั่นคงเรื่องของท่าทีของไทยที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ที่จะต้องอธิบายต่อนานาชาติ
นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต สว. อภิปราย เชื่อว่ารัฐบาลไทยวางฉากทัศน์ไว้แล้ว ซึ่งหากปัญหายังไม่สงบลงอาจจะมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น หรือมีจำนวนผู้ลี้ภัยเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงรัฐบาลพลัดถิ่น ซึ่งปัญหาอาจไม่ใช่แค่เรื่องมนุษยธรรม รวมถึงประเทศมหาอำนาจที่เข้าไปแทรกแซง ทั้งจีนหรืออินเดีย อาจจะทำให้ผู้ลี้ภัยทะลักเข้ามาตามแนวชายแดนไทยเมียนมา ทั้งชาวบ้านธรรมดา-กองกำลังต่าง-กองกำลังติดอาวุธ ทำให้ปัญหาสลับซับซ้อนส่งผลต่อท่าทีของไทย โดยเฉพาะรัฐฉานมีกองกำลังของชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม ทั้งว้า ไทยใหญ่ มูเซอ ฯลฯ อาจมีการทะลักเข้าของประชาชนที่มีความซับซ้อน ซึ่งไทยมีการเข้าไปลงทุนและมีผลประโยชน์อยู่อาจทำให้มีปัญหาซับซ้อนมากขึ้น
นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล สว. แสดงความเห็นถึงข่าวสารที่ปรากฏออกมาในขณะนี้ในโซเชียลมีเดีย มีหลายข้อความที่ส่งผลต่อความร้าวลึกสร้างความบาดหมางต่อความรู้สึกของผู้หนีภัยฯ จึงสื่อสารฝากถึงประชาชนคนไทย ด้วยในไทยมีชาวเมียนมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาจเกิดความไม่พอใจและกระทบกระทั่งกัน ดังนั้นการใช้ถ้อยคำในสื่อโชว์โซเชียลต้องมีความระมัดระวัง ซึ่งจะต้องดำรงความเป็นกลางของประเทศ และผูกมิตรกับทุกฝ่าย
ทั้งนี้นายถวิลชี้แจงว่าเข้าใจถึงสถานการณ์ในเมียนมาที่มีความซับซ้อน และอาจมีสถานการณ์การอพยพขนาดใหญ่หลายทิศทาง ดังนั้นการเตรียมรองรับตามมาตรการที่มีอยู่ปัจจุบันอาจไม่เพียงพอชี้ว่าฝ่ายความมั่นคงจะต้องประเมินเป็นระยะต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่เพียงสถานการณ์ของ ชนกลุ่มน้อยต่างๆในเมียนมาร์เท่านั้นยังมีกรณีที่ประเทศมหาอำนาจ ทั้งจีน อินเดีย สหรัฐสหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องทำให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นมาก
นายถวิลยืนยันการจัดการของไทยวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดและไม่ก้าวก่ายแทรกแซง สืบเนื่องจากเหตุการณ์เครื่องบินเมียนมาเข้ามาสนามบินจังหวัดตาก เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา และกองทัพเมียนมาไม่สามารถใช้ดินแดนของไทยเข้ามาตั้งฐานทัพการสู้รบได้ แนวทางการแก้ไขสถานการณ์ในเมียนมายึด 5 ข้อหลักของอาเซียน จึงขอส่งต่อในประเด็นดังกล่าวให้วุฒิสภาชุดต่อไปศึกษารายละเอียดและสถานการณ์เพิ่มเติมในอนาคต สำหรับรายงานของกรรมาธิการการต่างประเทศเรื่องนี้จะส่งต่อให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการต่อไป