เมืองไทย 360 องศา
หลายคนค่อนข้างมีความเชื่อตรงกันแล้วว่า พรรคก้าวไกลต้องถูกสั่งยุบพรรคแน่นอน เพียงแต่ว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาวินิจฉัยกี่สัปดาห์ กี่เดือน เท่านั้นเอง เพราะผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ถือว่าชัดเจนมาก ในเรื่องของการล้มล้างการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงพฤติกรรมในการบ่อนเซาะ กัดกร่อนสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการเสนอแก้ไข มาตรา 112 และนำกรณีดังกล่าวมาใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ระบุว่า พรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 จึงได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป
จะว่าไปแล้ว ความผิดดังกล่าวของพรรคก้าวไกล สามารถยุบพรรคได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในคราวนั้นผู้ร้อง คือ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตาม มาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ว่า การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ... เพื่อยกเลิกประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ไม่ได้ร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ดังนั้น เมื่อมีความผิดดังกล่าว คำร้องยุบพรรคก็ต้องตามมา
ดังนั้น นั่นจึงเป็นความเชื่อที่ว่า พรรคก้าวไกล น่าจะถูกยุบพรรคค่อนข้างแน่ และหากยุบพรรค ก็ต้องตามมาด้วยการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ไม่น้อยกว่า 10 ปี หรือหากเลวร้ายกว่านั้นอาจตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิตก็เป็นไปได้ ซึ่งกรรมการบริหารชุดที่ถูกร้อง แน่นอนว่า ย่อมมีชื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรค และ นายชัยธวัช ตุลาธน เคยเป็นเลขาธิการพรรค รวมอยู่ด้วย เป็นต้น
นี่ยังไม่นับกรณีที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังพิจารณาสอบสวนเรื่องจริยธรรม ส.ส.พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน ที่เคยยื่นญัตติขอแก้ไขมาตรา 112 มาก่อนหน้านี้อีกด้วย โดยขั้นตอนจะไปสิ้นสุดที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหากผลออกมาเป็นลบ ก็จะส่งผลในเรื่องถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามมาอีก ส่วนจะตัดสิทธิตลอดชีวิตหรือไม่ ต้องรอติดตาม แต่เอาเป็นว่าหากมีความผิดรวมกันแล้วจะมี ส.ส.ของพรรคนี้จำนวนชุดใหญ่ทีเดียวที่ต้อง “โดน”
ทีนี้ยังมีคำถามตามมาอีกว่า หากยุบพรรคก้าวไกลแล้ว จะทำให้ “ยิ่งยุบยิ่งโต” หรือเปล่า หลายคนก็มีความเชื่ออย่างนั้น บรรดานักวิชาการกลุ่มหนึ่งเชื่อแบบนั้น โดยมั่นใจว่า พรรคก้าวไกล (ในชื่อพรรคที่จัดตั้งใหม่) จะได้คะแนนสงสาร ทำให้ชนะการเลือกตั้งถล่มทลายมากกว่าการเลือกตั้งคราวที่แล้ว โดยเชื่อว่า บรรดาผู้สนับสนุนและแฟนคลับของพรรคนี้ ที่เคยลงคะแนนให้จำนวน 14 ล้านเสียง ยังอยู่เหมือนเดิม แต่จะมีฐานเสียงใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอีกหลังจากมีการยุบพรรคก้าวไกล
ขณะที่อีกความเชื่อหนึ่งกลับมองเป็นตรงกันข้าม เนื่องจากเห็นว่า พรรคก้าวไกล (ในชื่อใหม่) จะไม่โตไปกว่านี้แล้ว หรือว่า “เลยจุดพีก” ไปแล้ว ด้วยเหตุผลไม่กี่อย่าง นั่นคือ บรรยากาศที่เปลี่ยนไป คือ ไม่ใช่บรรยากาศเผด็จการที่สู้กับฝ่ายประชาธิปไตย คราวก่อนเป็นเผด็จการ คสช. ที่เรียกว่า “สาม ป.” กับอีกฝ่ายที่อ้างว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” เช่น ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา รณรงค์หาเสียงสั้นๆ ได้อารมณ์ร่วมว่า “มีลุง ไม่มีเรา” ซึ่งก็ได้ผล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวาทกรรมที่ด้อยค่าโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกลุ่ม “สาม ป.” มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ไร้ผลงาน” การทุจริต หรือแม้แต่คำพูดที่ว่า “ผู้นำโง่” ก็รุนแรงถึงขนาดนั้นกันเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่า บรรยากาศเผด็จการย่อมปลุกเร้าได้ง่าย เหมือนกับคำพูดในยุค “แสวงหา” ในอดีต ประเภทที่ว่า “ที่ไหนมีการข่มเหง ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้”
เมื่อมาถึงปัจจุบัน มันก็ยังคงใช้ได้ผล โดยเฉพาะกับพวกเด็กๆ คนรุ่นใหม่ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองมากมายนัก ที่เคลิบเคลิ้มอยู่ในตำรา จินตนาการกับการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ความเสมอภาค อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดี มาวันนี้เมื่อบรรยากาศเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะมีที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลแบบไหนก็ตาม แต่เวลานี้รัฐบาลผสมที่นำโดย พรรคเพื่อไทยที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถือว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยเต็มรูปแบบแล้ว เงื่อนไขในเรื่องเผด็จการ ก็ลดไปจนเงียบกริบ หรือก่อนหน้านี้ มีการโจมตีเรื่อง ส.ว.ลากตั้ง รวมไปถึงรัฐธรรมนูญปี 60 เป็นผลผลิตของเด็จการ คสช. ต้องยกเลิกแล้วร่างใหม่ฉบับประชาชนขึ้นมา มาวันนี้หากพิจารณากันตามกระแสแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า “ฝ่อลงไปมาก” เมื่อเทียบก่อนหน้านี้ อีกทั้งอีกไม่กี่วัน ส.ว.ชุดนี้ที่มีอำนาจตามบทเฉพาะกาล กำลังจะสิ้นสุดลง เงื่อนไขก็จะลดลงอีก หรือหากจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ต้องใช้เงินมหาศาลหลายหมื่นล้านบาท ก็เกิดคำถามว่าจะคุ้มค่าหรือไม่กับการที่จะได้นักการเมืองที่ไม่ต่างจากเดิม และเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองมากกว่าเพื่อประชาชน
ประการถัดมา ซึ่งน่าจะกลายเป็น “แรงกระทก” กลับไปที่พรรคก้าวไกลอย่างรุนแรง นั่นก็คือ ภาพติดตัวในเรื่อง “ล้มเจ้า” ทั้งในเรื่องผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระบุว่า มีเจตนาบ่อนเซาะกัดกร่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ จากกรณี มาตรา 112 ดังกล่าว รวมไปถึงปรากฏการณ์หลังจากเกิดกรณี “ป่วนขบวนเสด็จ” ของพวกกลุ่ม “สามนิ้ว” กลายเป็นภาพจำที่เชื่อมโยงไปถึงพรรคก้าวไกล และตัวบุคคลในพรรคก้าวไกล
ภาพอย่างหลังนี่แหละที่จะกลายเป็นว่า มวลชนที่เคยสนับสนุนพรรคนี้มาก่อนในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ต่างเริ่มถอยออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะรับไม่ได้กับกับพฤติกรรมของคนพวกนี้ รวมไปถึงที่ผ่านมา ได้เห็นความเคลื่อนไหวหลายอย่างภายในพรรค ในเรื่องความรุนแรง ชู้สาวภายในพรรค ส.ส.หลายคนเคยเป็นอาชญากร ทำผิดกฎหมาย ล้วนนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธา ซึ่งสิ่งต่างๆ ดังกล่าว ล้วนทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้โตไปกว่านี้อีกแล้ว
นอกเหนือจากนี้ หากมีการยุบพรรคจริง และกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ ซึ่งถือว่าเป็น “แถวสอง” ถูกสั่งตัดสิทธิการเมือง แม้จะมีพรรคสำรองรองรับเอาไว้ล่วงหน้า แต่สำหรับพวก “แถวสาม” ถือว่ายังไม่โดดเด่น เพราะแม้กระทั่งชุดปัจจุบัน ยังถูกมองว่าเป็นพวกด้อยประสบการณ์ ไม่ค่อยมีบทบาทหนักหน่วง ในฐานะฝ่ายค้าน นอกเหนือจากเรื่องโจมตีด้อยค่ากองทัพ และเคลื่อนไหวเรื่อง มาตรา 112 การวิจารณ์ศาลยุติธรรม แล้วเรื่องอื่นแทบจะไม่เห็นบทบาท เช่น การวิพากษ์กรณี “อภิสิทธิ์ชน” ของ นายทักษิณ ชินวัตร พรรคก้าวไกลแทบจะไม่แตะต้อง ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องหลักสำหรับพรรคฝ่ายค้าน แต่ทุกอย่างก็เบาหวิว
ลักษณะดังกล่าวมาทั้งหมด ทำให้สนับสนุนความเชื่อที่ว่า หากยุบพรรคก้าวไกลในวันนี้ แล้วไม่เชื่อว่าพรรคนี้จะยิ่งเติบโต ตรงกันข้ามกลับทำให้ถดถอยกว่าเดิม เนื่องจากมีการแยกแยะมวลชนผู้เคยสนับสนุนออกมาจำนวนมาก จากพฤติกรรมที่ทำให้เข้าใจชัดเจนแล้วว่าเป็นพวก “ขบวนการล้มเจ้า” รวมถึงพฤติกรรมด้านลบมากมาย ทำให้พวกเขา “เลยจุดพีก” ไปไกลแล้ว !!