“สนธิ” เผยวิชามารเลือกตั้ง ช่วง 10 เมตรสุดท้ายก่อนเส้นชัย แต่ละฝ่ายต่างงัดวาทกรรมออกมาแย่งชิงคะแนนเสียง ไม่สนใจข้อเท็จจริง วลี “ไม่เลือกเราเขามาแน่” กลับมาฮิต ซัดฝ่าย “เชียร์ลุง” ตัดต่อข้อความจริงบางส่วนเท็จบางส่วน อ้าง “สนธิ” เชียร์ “บิ๊กตู่” พอเอาเป็นพวกไม่ได้ก็สาดโคลนใส่ว่าเลิกปกป้องสถาบัน ถามกลับใครกันแน่ไม่ปกป้อง เป็นนายกฯ มา 8 ปีแต่ขบวนการล้มเจ้าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ หากเปรียบกับการวิ่ง 400 เมตร ก็ถือว่าเลยช่วงโค้งสุดท้ายมาแล้ว และวิ่งทางตรงช่วง 10 เมตร 20 เมตรสุดท้ายก่อนจะถึงเส้นชัยแล้ว ทำให้ตอนนี้พรรคการเมืองทุกพรรคมีกลเม็ดเด็ดพราย มีวิชาเทพ-วิชามาร มียุทธวิธีบนดิน-ใต้ดินงัดเอามาใช้กันหมด ไม่สนใจวิธีการ หรือ ความถูกต้องชอบธรรมใด ๆ
เรียกได้ว่าช่วง 10-20 เมตรสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัยนี้“นโยบายข้อเท็จจริง” อะไรที่ทำได้ ทำไม่ได้ ต่างคนต่างฝ่ายต่างไม่สนใจทั้งนั้น เพราะ ณ เวลานี้ คือห้วงเวลาของการต่อสู้ทาง“วาทกรรม” เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น มีเราไม่มีลุง, เลือกเรา เปลี่ยนทันที,ไม่เอาลุง ไม่เอาความขัดแย้ง, คุณอยากให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม จริงหรือ?
“ในช่วง 10 เมตร 20 เมตร สุดท้ายนั้นมันมีเรื่องบางเรื่อง ประเด็นบางประเด็นที่มี“ผู้ไม่หวังดี” แชร์ไปในโลกออนไลน์ ตามโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ไลน์ เกี่ยวข้างกับผม ที่ผมเห็นว่าคงต้องพูดถึง และชี้แจง เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และความถูกต้อง”นายสนธิกล่าว
ลือสะพัด! “สนธิ” หันเชียร์ “ลุงตู่” กับวาทกรรม“ไม่เลือกเราเขามาแน่”
นายสนธิ กล่าวว่า วันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา มีคนรู้จัก ส่งข้อความมาบอกว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง มีข้อความเกี่ยวกับจุดยืนเรื่องการเลือกตั้งส่งไปใน LINE ส่วนตัว และ LINE กลุ่มต่าง ๆ ของคนจำนวนมาก ข้อความที่ส่งกันไปทั่วระบุว่า
“วันนี้ดูข่าวสนธิ ช่องนิวส์ 1 สนธิได้ตัดสินใจสละ อัตตา โดยเอาประโยชน์สังคมเป็นหลัก จึงจะเอนเอียงมาทางลุงตู่แล้วทุกทีจะออกมาด่าลุงตู่ ตอนนี้สนธิบอกว่าถ้าก้าวไกลขึ้นมาบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟอเมริกากับจีนจะต้องรบกันไอ้ก้าวไกลจะต้องให้อเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพจีนก็ไม่ยอม ชาวบ้านราชธานีอโศกทุกคนประกาศพร้อมใจสนับสนุนลุงตู่ พวกสันติอโศกต่างๆ ก็ออกมาเทใจให้ลุงตู่ แม้แต่แอ๊ด คาราบาว เคยด่าก็หันมาเชียร์พี่ตู่ ”
นายสนธิกล่าวว่า ข้อความข้างต้นบางส่วนเท็จ บางส่วนจริง เพราะเรื่องที่พูดทั้งหมดนี้ อยู่ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ Ep.187 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 ในตอนย่อยว่า “เบื่อสองลุง กลัวสองหลาน”
ข้อความที่มีการแชร์กันไปทั่วว่า“ผมละอัตตาหันมาเชียร์ลุงตู่” นั้น ข้อความส่วนที่เป็นเท็จ ก็คือผมไม่ได้เชียร์ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตพรรครวมไทยสร้างชาติ ในรายการเต็ม ๆ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ถ้าใครได้ชม หรือได้อ่านถอดเทปแบบคำต่อคำแล้วก็จะทราบชัดเจนเลยว่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ นั้นบริหารงานล้มเหลวในหลายประเด็นใหญ่ ๆ ยกตัวอย่างเช่น
-การคอร์รัปชันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้จะมีการอ้างอิงว่าอันดับการคอร์รัปชันดีขึ้น (Corruption Index) แต่ชาวบ้าน ประชาชน และข้าราชการต่างรู้ดีว่า มันเหลวแหลก ฉิบหายไปถึงระดับรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ที่คอยควบคุมการคอร์รัปชัน ยังคอร์รัปชันเสียเองจนร่ำรวยผิดปกติเป็นร้อย ๆ ล้านบาท / ทั้งยังถูกศาลสั่งจำคุกเพราะยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
-กระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตำรวจ อัยการ ศาล หลักฐานมีกลาดเกลื่อนไปหมด ตั้งแต่คดี บอส อยู่วิทยา ไปจนถึงเจ้าของเว็บพนันเยอะแยะไปหมดไม่ว่าจะเป็น “แทนไท ป้ายแพง-ฟลุ๊ค มาวินเบต” ที่ถูกจับแต่หลุดคดี เพราะอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง
-ความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยช่วง 8 ปีกว่าที่ผ่านมา นายทุน/มหาเศรษฐีร่ำรวยขึ้นอย่างมาก ขณะที่ชนชั้นกลางคนยากคนจนนั้นจนลง ๆ เห็นได้ชัดในกรณีปัญหา ความทุกข์ยากของชาวบ้าน ผู้ประกอบการทั่วประเทศในปัจจุบันก็คือ ประเด็นเรื่องค่าพลังงานแพง ค่าไฟแพง ค่าแก๊สแพง ค่าน้ำมันแพง ซึ่งส่งผลไปถึงราคาสินค้า ค่าครองชีพ ความเป็นอยู่ ฯลฯ
นี่แค่น้ำจิ้มที่แสดงถึงความล้มเหลวในช่วง 8 ปีกว่าของการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งคงไม่ต้องอธิบาย หรือ พิสูจน์ด้วยหลักฐานอะไรให้มากกว่านี้แล้ว
ข้อความเกี่ยวกับที่ส่งต่อกันทาง LINE ส่วนที่เป็นจริง ก็คือ
หนึ่ง ผมยึดเอาประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก เพราะเมื่อผมเห็นว่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวในการ“ทำแล้ว ทำอยู่”ยังไม่ต้องพูดถึง“ทำต่อ” ซึ่งในเบื้องลึกผมก็ทราบข่าวมาว่า มีคนใกล้ชิดของท่านไปกระซิบกับ “ฝั่งลุงป้อม” อ้างว่าต้องให้“ลุงตู่อยู่ต่อเพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ”แม้จะเหลือเวลาเป็นนายกฯ อีกแค่ 2 ปี ก็ต้องเป็น “ลุงตู่” เท่านั้น
ก็เลยถามกลับคนที่พูดอย่างนั้นว่า อย่างนั้นก็แสดงว่า
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก 2 ปี หลังจากนั้นเมื่อไม่ได้เป็นนายกฯ แล้ว แสดงว่า สถาบันหลักของชาติ จะไม่มีใครมาปกป้องแล้วหรือ?
นอกจาก “ลุงตู่” แล้ว ผู้รักสถาบันคนอื่นๆ จะปกป้องสถาบันฯ ไม่ได้หรืออย่างไร?
ใครกันแน่ที่โหนสถาบัน โหนเจ้า? อ้างเรื่องการปกป้องสถาบันอย่างพร่ำเพรื่อเพื่อผลประโยชน์-เพื่ออำนาจตัวเอง? จน ทุกวันนี้ “เด็ก 3 นิ้ว” ออกมาเคลื่อนไหวล้มเจ้า ล้มล้างมาตรา 112 กันจนจุดติดเป็นกระแสในหมู่คนรุ่นใหม่ ส่วนพรรคการเมืองที่สนับสนุนเด็ก 3 นิ้ว กับเรื่องล้มสถาบันฯ อย่างพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล โตเอา ๆ จากการเลือกตั้งปี 2562 มาถึงการเลือกตั้งปี 2566 ในปีนี้ กระแสก็ดูรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนฝังลึกกลายเป็นประเด็น“ความขัดแย้งระหว่างรุ่น” ของคนในชาติไปแล้ว
สองเป็นเรื่องจริงที่วิเคราะห์ว่าถ้าก้าวไกลขึ้นมา บ้านเมืองก็มีโอกาสที่จะลุกเป็นไฟ โดยประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล นี้ตนพูดมานานมากแล้วเป็นสิบปี ไม่ได้เพิ่งมาพูดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปี 2566
“ผมพูดตั้งแต่พรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นรัฐบาลอยู่ ตั้งแต่ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยังทำนิตยสารฟ้าเดียวกัน ยังไม่เข้ามาเล่นการเมืองสร้างพรรคอนาคตใหม่ หรือ พรรคก้าวไกล แบบเต็มตัวเช่นทุกวันนี้แต่ในตอนนั้นทุกคนดูเบาปัญหา บางคนถึงขึ้นหัวเราะเยาะบอกว่าผมมโนไปไกล คิดไปเอง แต่วันนี้ทุกอย่างก็พิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ แล้ว”
นายสนธิกล่าวต่อว่า เรื่องการเมืองในประเทศไทยนั้นมีความเชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหว และความขัดแย้งทางการเมืองโลกอย่างแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยนั้นเป็น “เบี้ยตัวหนึ่ง” ในกระดานหมากรุกของชาติมหาอำนาจตะวันตก และเป็น “เบี้ยอีกตัวหนึ่ง” ในกระดานหมากล้อมของประเทศจีน ดังนั้นความเคลื่อนไหวทางการเมือง และการเลือกตั้งในประเทศที่จะชี้ชะตาผู้มากุมอำนาจในการบริหารประเทศย่อมถูกจับตาอย่างใกล้ชิดกับตัวแทนชาติของเหล่านี้
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันที่ 7 พฤษภาคม 2566 ซึ่งในประเทศไทยมีการเลือกตั้งล่วงหน้า มีคนในแวดวงการต่างประเทศมาเล่าให้ฟังว่า ทูตจากชาติมหาอำนาจตะวันตกจำนวน 6 ชาติ ทั้งสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, เกาหลีใต้ รวมถึงทูตอียูประจำประเทศไทย ซึ่งสังเกตได้ว่า 5 ใน 6 ชาติเป็นชาติในกลุ่ม 5 ตา (Five Eyes) ที่เป็นเครือข่ายของสหรัฐฯ และนายโรเบิร์ต เอฟ.
โกเด็ก เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ได้รวมตัวกันเรียกตัวแทนจากพรรคการเมืองหลัก ๆ ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล คือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคก้าวไกล
นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการอีกจำนวนหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาว่าค่อนข้างโปรตะวันตก โดยคนหนึ่งจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ส่วนอีกคนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การเรียกตัวแทนพรรคการเมืองไทยเข้าไปพูดคุยครั้งนี้ ก็เพื่อสอบถามถึงเรื่องจุดยืนทางการเมือง และแนวนโยบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ และความมั่นคง หลังการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ด้วยซ้ำว่า แต่ละพรรคนั้นมีจุดยืน และความคิดเห็นอย่างไร สอดคล้อง หรือ ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจตะวันตกหรือไม่?
“ผมถามว่าการกระทำเช่นนี้ของบรรดาทูตมหาอำนาจคือ เป็นแค่การหยั่งเชิง หรือ การเข้าแทรกแซงการเลือกตั้ง และการกำหนดนโยบายของประเทศไทยหรือไม่? ท่านผู้ชมลองไปคิดดู”นายสนธิ กล่าว
การกลับมาของการปั่นกระแส “ไม่เลือกเรา เขามาแน่”
นายสนธิ กล่าวว่า พอมีกระแสข่าวลือเรื่องความเห็นของตนเกี่ยวกับการเลือกตั้งออกมา เมื่อ วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมานายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จึงมาปรึกษาว่าควรจะชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด เมื่อตนตกลง นายปานเทพจึงไปโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กระบุว่า
“สืบเนื่องด้วยมีวิชามารจากฝ่ายที่อ้างว่าเป็น คนดี มีศีลธรรม โดยส่งต่อกันเป็นไวรัล ว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกรายการถึงอันตรายของพรรคก้าวไกลในจุดยืนการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากนั้น จึงมีการโพสต์ข้อความด้วยการบิดเบือนต่อว่า คุณสนธิ ได้ละอัตตาหันมาเชียร์ลุงตู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
“เพราะในความจริง คุณสนธิ ไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่ยังวิพากษ์วิจารณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างหนักว่า ไม่ปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อครองใจประชาชน ทำให้ปัญหาได้ถูกพัฒนามาจนถึงในวันนี้
“แต่คนที่มีวาระซ่อนเร้นกลับใช้วิธีตัดต่อคลิปวิดีโอท่อนที่วิพากษ์วิจารณ์เฉพาะพรรคก้าวไกลอย่างเดียวให้เกิดความเข้าใจผิด
“และขอยืนยันว่า ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่คุณสนธิจะประกาศว่าให้เลือกตั้งเพื่อให้ลุงตู่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี
“การกระทำบิดเบือนแบบนี้ควรจะเลิกได้แล้ว เพราะเป็นการโกหก บิดเบือนความจริง น่าละอายอย่างยิ่ง จึงเรียนมาเพื่อทราบ”
เมื่อปานเทพ โพสต์ข้อความดังกล่าวลงไป ก็มีผู้ให้ความสนใจอย่างมาก ในเว็บไซต์ Manager Online มีคนเข้ามาอ่านคำชี้แจงหลายหมื่นครั้ง แต่ก็กลับมีคนที่“อ้างว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรม” ไปปล่อยข่าวต่อว่า“สนธิ ลิ้มทองกุล” นั้นไม่ปกป้องสถาบันฯ แล้ว? และมีการร่ำลือกันด้วยว่าตนกับนายปานเทพ นั้นออกมาสนับสนุนเรื่องกัญชา เนื่องจากไปลงทุนปลูกกัญชาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว ตนกับนายปานเทพนั้นกัญชาสักต้นก็ไม่เคยปลูก ไม่เคยมีไว้ในครอบครอง การที่ออกมารณรงค์เรื่อง “ปลดล็อกกัญชา” ก็เพื่อผลประโยชน์ทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพ และการปลดแอกจากบริษัทยาฝรั่ง ให้คนไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้เท่านั้น เพราะฉะนั้น พวกที่อ้างว่าเป็น “คนดีมีศีลธรรม” แท้จริงแล้ว ก็เป็นคนจอมปลอม ไม่แตกต่างอะไรไปจากฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย
สรุปแล้วก็คือ พอเอาผม กับ อ.ปานเทพ เป็นพวกไม่ได้ ก็ให้ร้ายใส่ร้ายเสียเลย โดยไม่สนวิธีการ ข้อเท็จจริง หรือความถูกต้องใด ๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ การที่บอกว่าต้องเลือก “ลุงตู่” เพราะถ้าไม่เลือก “ลุงตู่” พวกล้มสถาบันจะมาแน่ เป็นวาทกรรมที่ใช้กันมานมนานแล้ว ในหมู่พวก “อนุรักษ์นิยม” ที่พูดติดปากกันว่า“ไม่เลือกเราเขามาแน่”
ยุทธศาสตร์เดิมของการสร้างวาทกรรม“ไม่เลือกเรา เขามาแน่”
“วาทกรรมไม่เลือกเรา เขามาแน่” นั้นเกิดขึ้นสมัยเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ เมื่อสิบปีที่แล้ว ปี 2556 ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งที่ 10 โดยตอนนั้นแข่งขันกันระหว่างระหว่างตัวเต็ง 2 คน คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย
ในเวลานั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ได้รับเสียงเชียร์จากพรรคเพื่อไทยซึ่งกุมอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่และตำรวจอย่างมาก โดยในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง โพลทุกสำนักให้ พล.ต.อ.พงศพัศ ชนะ หม่อมสุขุมพันธ์ อย่างขาดลอย แต่กระแสต่อต้านทักษิณก็เริ่มแรงขึ้นอีกไม่กี่วันต่อมา เมื่อมีการปั่นกระแสโหวตทางยุทธศาสตร์ ของกลุ่มประชาชนส่วนที่ต่อต้านทักษิณ ร่วมกันโหวตให้ หม่อมสุขุมพันธุ์ ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้จำนวนมากก็ไม่ได้ชื่นชอบหม่อมสุขุมพันธุ์แต่อย่างใด
โดยในโค้งสุดท้าย ทางพรรคประชาธิปัตย์ โดย หม่อมสุขุมพันธ์ ใช้กลยุทธ์“ไม่เลือกเรา เขาไม่มาแน่” ทำให้ ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า หม่อมสุขุมพันธุ์ ได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.25 ล้านคะแนน โดยสามารถเอาชนะพล.ต.อ.พงศพัศ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยที่ได้คะแนนตามมาเป็นอันดับที่ 2ราว 1.08 ล้านคะแนน
หลังจากปี 2556 ครั้งนั้น ความสำเร็จจากการสร้างวาทกรรม“ไม่เลือกเราเขามาแน่” ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น
การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 22 พฤษภาคม 2565 วาทกรรม“ไม่เลือกเราเขามาแน่” ซึ่งการปั่นกระแสว่า เบื้องหลังของ “ชัชชาติ” ก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับประสบความล้มเหลว เพราะokpชัชชาติได้รับคะแนนเสียงจากชาว กทม. อย่างท้วมท้น อาจจะเป็นเพราะเบื่อกับการทำงานของผู้ว่าฯ คนเก่า แม้ในเวลาต่อมาชาว กทม.จะเริ่มตั้งคำถามกับการทำงานของนายชัชชาติว่าในช่วงเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา นายชัชชาติมีผลงานอะไรที่สัญญาเอาไว้ระหว่างหาเสียง สามารถทำเสร็จสิ้นจนเป็นรูปธรรม บ้างหรือยังก็ตาม?
รวมไปถึง การเลือกตั้งทั่วไป 4 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งก็ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง อย่างน้อย พล.อ.ประยุทธ์ ก็สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ภายหลังการรัฐประหารในปี 2557 โดยในการเลือกตั้งครั้งนั้น หลังจากการรัฐประหารผ่านมาแล้วเกือบ 5 ปี ก็ยังมีการใช้วาทกรรม“ไม่เลือกเราเขามาแน่” ในการรณรงค์หาเสียงจากคนบางกลุ่มอยู่โดยเฉพาะในกลุ่มแกนนำ กปปส.
นอกจากความล้มเหลวในการบริหารงานทั้งความเหลวแหลกของกระบวนการยุติธรรม, ปัญหาคอร์รัปชัน-การสร้างธรรมาภิบาล, การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ที่กล่าวไปแล้วตั้งแต่ตอนต้น
มีอีกประเด็นที่จำเป็นต้องสอบถามในหมู่ประชาชนที่บอกว่าตัวเองเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม หรือConservativeซึ่งที่ผ่านมาพยายามอ้างว่าที่ออกมาส่งเสียง และเคลื่อนไหวต่าง ๆ นั้นก็เพื่อจุดประสงค์ในการ ปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น เคยตั้งข้อสงสัยไหมว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เพราะทำไม เพราะเหตุใด กลุ่มคนที่ต่อต้านสถาบันนั้นถึงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ?
จากนักวิชาการเพียงไม่กี่คน ทำนิตยสารรายสะดวก, 6 เดือนเล่ม-ปีละ 2 เล่ม คนอ่านวงแคบ ๆ ไม่กี่ร้อยคน
ต่อมาแผ่อิทธิพลแนวคิดในหมู่ NGO, นักวิชาการตามมหาวิทยาลัย ตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
ผลิตงานวิชาการออกมากลายเป็นหนังสือขายดี แม้จะมีจุดที่บิดเบือน-ใส่อคติส่วนตัวบ้าง แต่ก็ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่อย่างมาก
ขยายแนวร่วมจนกลายเป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคก้าวไกลก็ตาม ซึ่งมี ส.ส.จำนวนไม่น้อย อย่างเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 2562 เพียงลงครั้งแรกก็เป็นพรรคขนาดกลางได้เสียงตั้ง 80 กว่าเสียง ส่วนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็มีกระแสที่สูงขึ้นมาก
ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงกลุ่มม็อบ 3 นิ้ว ที่ทรงอิทธิพลในหมู่เยาวชน และคนรุ่นใหม่ และสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั้งแก่สถาบันหลักทั้ง 3 เสา คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ?
“ผมสงสัย และต้องการถามพวกท่านจริง ๆ ว่า ถ้า “ลุงตู่” ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติได้ดีจริง ๆ แต่เพราะเหตุใด ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมากลุ่มคนล้มสถาบันถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และเติบโตจนในวันหนึ่งอีกไม่นานนี้ ผมทำนายไว้เลยจะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้แทนกลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่างแน่นอน
“โดย คำว่า “อีกไม่นาน” ที่ผมเคยทำนายไว้ก็การเลือกตั้งครั้งนี้ ปี 2566 หรืออย่างช้าก็ครั้งหน้าปี 2570” นายสนธิกล่าว
ใครกันแน่ไม่ปกป้องสถาบัน?
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ส่วนคนที่พอผมไม่เชียร์ลุงตู่ แล้ว ออกมาโจมตีบอกว่า ผมนั้นไม่ปกป้องสถาบันฯ แล้ว ผมก็ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาผมนั้น จุดยืนของผมนั้นไม่เคยแปรเปลี่ยน ฝนจะตกฟ้าจะร้อง พายุจะเข้า ต้องติดคุกติดตะราง จุดยืนผมก็คือ“ปกป้องสถาบัน” ให้อยู่เป็นมิ่งขวัญของประเทศชาติ ประชาชน และยั่งยืนสถาพร
มิใช่ทำเช่นคนบางกลุ่ม-ทหารบางพวก-นักการเมืองบางคนที่“โหนสถาบัน”เพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว การกระทำของตนเองยิ่งทำให้สถาบันตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นทุกที ๆ
ในช่วง 3-4 ปีหลัง ใครที่ติดตามผ่านรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิมาตลอด จะทราบดีว่า หลาย ๆ ประเด็นเกี่ยวกับสถาบัน ผมเป็นคนที่ออกมาเป็นคนแรก ทั้งยังทำอย่างต่อเนื่องในการเตือนสติ ห้ามปราม รวมถึงอรรถาธิบายให้ เยาวชน-ประชาชน และกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่าง ๆ ได้อย่างน้อยฉุกคิด หรือ เข้าใจข้อมูลข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
1.ทำไมต้องดำรงไว้ซึ่งกฎหมายอาญามาตรา 112
2.ฉีกหน้ากากพวกขบวนการ “อีแอบ” ที่อยู่เบื้องหลังเด็ก ๆ ม็อบ 3 นิ้ว
3.วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกลวงโลกของนายณัฐพล ใจจริง ที่จงใจแต่งเรื่องบิดเบือนประวัติศาสตร์ ใส่ร้ายสถาบัน และต่อมากลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ขายดี ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
4.เรื่องที่ดินจุฬาฯ อธิบายว่าที่ดิน “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” มาจากไหน? เหตุใดประวัติศาสตร์จึงถูกบิดเบือนโดยคนรุ่นหลังซึ่ง อ้าง “จุฬาฯ” เกิดได้เพราะคณะราษฎร ไม่ใช่รัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6
5.เรื่องคณะราษฎร 2475 คณะโจรปล้นสมบัติสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงความจริงเรื่อง จอมพล ป. พิบูลสงคราม แกนนำคณะราษฎร 2475 ซึ่งต่อมาถูกยกเป็นไอดอลของแกนนำม็อบ 3 นิ้วหลายคนว่าจริง ๆ แล้วมีแผนชั่วในการประพฤติตัวเป็นเจ้าเป็นสถาบันเสียเอง
ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการปล้นชิงทรัพย์สมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์แบบหน้าด้าน ๆ เหล่านี้มีหลักฐานทุกชิ้นอย่างละเอียด โดยนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อว่าศึกชิงพระคลังข้างที่ ๒๔๗๕ จากปล้นพระราชทรัพย์ถึงคดีสวรรคต ร.๘ โดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
และยังติดตามเรื่องการปล้นชิงทรัพย์สินจากสถาบันมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ตกทอดมายังวงศ์ตระกูลลูกหลาน ของพวกคณะราษฎร อย่างต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าใครติดตามรายการนี้มาโดยตลอดก็คงทราบดี
“ใครก็ตามที่มาชี้หน้ากล่าวหาว่า การที่ผมไม่เชียร์“ลุงตู่”นั้นเป็นการไม่ปกป้องสถาบัน กรุณาส่องกระจก พิจารณาตัวเองด้วยว่า ตัวเองพวกคุณนั่นแหละกำลังทำอะไรอยู่ แท้จริงแล้วคนที่คุณเชียร์นั้นทำเพื่อใคร ทำเพื่อ สถาบัน ประเทศชาติ ประชาชน หรือเพื่อตัวเองและพวกพ้องกันแน่” นายสนธิ กล่าว