เมืองไทย 360 องศา
ต้องยอมรับว่านับจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเห็นการต่อสู้และแข่งขันระหว่างสองพรรคหลักคือ เพื่อไทยกับก้าวไกล และหากพิจารณาจากผลสำรวจที่ออกมาก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลกำลังมาแรง หากมีการเลือกตั้งกันวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็จะชนะพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการสำรวจในรายละเอียดเพิ่มลงไปอีก แม้ว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะจากบรรดาคนรุ่นใหม่ และมีการพูดถึงความนิยมในตัวของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่เป็นที่น่าสังเกตก็คือ ชื่อของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตกหายไปเลย
แม้ว่าผลสำรวจดังกล่าวอาจจะยังวัดอะไรไม่ได้ รวมไปถึงคำถามที่ไม่เอื้อต่อความนิยมในตัวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มากเท่าไรก็ตาม แต่เมื่อตั้งคำถามถึงความนิยมต่อพรรคเพื่อไทย มันก็ย่อมส่งผลถึงเธอในทางอ้อมอยู่แล้ว แต่เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือรูปแบบไหน เวลานี้พรรคเพื่อไทยกำลังเป็นรองพรรคก้าวไกลก็แล้วกัน
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ในช่วงที่ผ่านมาจะมีข่าวเรื่องการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” ถูกปล่อยออกมา แม้ว่าจะมีการออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันจากปากของระดับแกนนำ ไม่ว่าจะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” และเป็น “สายตรง” นายใหญ่ จากนายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ย้ำในทำนองเดียว โดยบอกว่าให้ฟังเขาคนเดียวเท่านั้น ในฐานะที่มีอำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี เมื่อฟังคำยืนยันจากของทั้งคู่ แม้ว่าจะพอเชื่อถือได้ แต่ในความเป็นจริงหลายคนเชื่อว่า คนที่มีอำนาจชี้ขาดจริงๆ กลับเป็น นายทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น อีกทั้งตามข่าวก่อนหน้านั้นที่ออกมาก็คือ หากปรับคณะรัฐมนตรีก็น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ที่ส.ว.ชุดนี้จะหมดวาระ ประกอบกับหากมีการปรับกันจริงถึงขั้นคาดกันว่าน่าจะปรับเปลี่ยนตัว นายกรัฐมนตรีเสียมากกว่า
เพราะเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ที่ยังเป็นพรรคไทยรักไทยเรื่อยมา มักจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้งมาก เรียกว่า อาจมีขึ้นทุก หกเดือน ถึงหนึ่งปีครั้ง จนมีการตั้งข้อสังเกตว่าต้องการหมุนเวียนเก้าอี้รัฐมนตรี และการแลกเปลี่ยนบางอย่างกับบรรดา “มุ้ง” ต่างๆในพรรค
ดังนั้น เมื่อพิจารณากันถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นั่งอยู่เวลานี้ผ่านมาเกือบหกเดือนแล้ว และที่สำคัญถูกมองว่าเขา “ไม่ใช่ตัวจริง” เป็นแค่ขัดตาทัพเท่านั้น เมื่อมองกันถึงช่วงเวลาที่ผ่านหกเดือนจนถึงหนึ่งปี ก็ถือว่า “มาไกลและคุ้มค่า” แล้ว
ประกอบกับเป็นช่วงเวลาของการแข่งขันเข้มข้นกับฝ่ายตรงข้ามที่เวลานี้ก็คือ พรรคก้าวไกล แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วทั้งสองพรรค คือระหว่างเจ้าของพรรคด้วยกันจะมีความเป็นมิตรกันก็ตาม แต่ในทางการเมืองเส้นทางมันทับกัน มันเลี่ยงกันไม่ออก ดังนั้น สำหรับพรรคเพื่อไทยก็ถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแล้วหรือเปล่า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นก็น่าจะหมายถึงการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี กันเลยทีเดียว
เพราะหากมองว่าเป้าหมายของเจ้าของพรรคที่ต้องการสร้างประวัติศาสตร์ผลักดันนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของครอบครัว หลังจากคนแรก คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำเร็จมาแล้ว ก็ถึงคิว “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นสายเลือดโดยตรง ซึ่งหากจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนในช่วง ต้นๆ เทอมหรือกลางเทอมเท่านั้น หากปล่อยไว้นาน หรือรอไปหลังเลือกตั้งครั้งหน้า มันก็ไม่มีหลักประกันอะไร อีกทั้งดูแนวโน้มมีโอกาสที่จะแพ้พรรคก้าวไกลมากกว่าเดิมยิ่งมีสูงมาก
ขณะเดียวกันหากจะสู้กันด้วยกระแสของ “คนรุ่นใหม่” มันก็น่าจะดัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มาสู้กับกระแสของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือเปล่า ถึงได้บอกว่าโอกาสที่จะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีมีสูงไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน ไปจนถึงพฤษภาคมดังกล่าว และที่ผ่านมานายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. ที่เคยอยู่ในวงในพรรคเพื่อไทย ก็ยังมั่นใจ และทำนายว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้แน่นอน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ค “Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์” (25 ม.ค. 67) ระบุว่า ช่วงหลัง 18 ก.พ. ไป มี.ค. จนถึงพ.ค. อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หากทุกอย่างเป็นสภาพเดิม โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ยังเป็นนายกฯ สถานการณ์พิเศษคงเกิดเร็ว
ทั้งยังกล่าวว่า ถ้ารัฐบาลบริหารตามปกติไม่เป็นไปตามเงื่อนไขพิเศษแล้ว คงนำงบประมาณมาใช้จ่ายกันสะพัดกับโครงการใหม่ๆ หรือการจัดซื้อจัดจ้างตามงบประมาณปี 2567 ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้งบประมาณยังไม่ถูกนำมาใช้จนกว่าจะถึงพ.ค. แสดงว่า นายเศรษฐา ต้องเป็นนายกฯ ถึง 9 เดือนตั้งแต่ ส.ค.66-พ.ค.67 จึงได้ใช้งบประมาณ ซึ่งผิดปกติอย่างมาก
“เชื่อว่า นายเศรษฐา จะเดินไปถึงวันที่จะได้ใช้งบประมาณหรือ และไม่มีเหตุผลทางรัฐศาสตร์และไม่มีหลักความเป็นไปได้เลย เพราะมันคือข้อตกลงที่ทำกันไว้ จึงได้เสียง ส.ว.152 เสียง มาโหวตให้เป็นนายกฯ รวมถึงนักโทษชั้น 14 ก็เป็นเรื่องเดียวกันหมด คือการดีลกันไว้แล้ว”
แม้ว่าในความเห็นของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จะไม่ได้ระบุว่านายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็น จะเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือไม่ก็ตาม แต่หากมองเห็นถึงแนวโน้มจะเป็นใครไปไม่ได้นอก “อุ๊งอิ๊ง” เท่านั้น เพราะถึงเวลาต้องลงมานำทัพเอง เพราะหากยิ่งทอดเวลาออกไป หรือจะรอจนถึงการเลือกตั้งคราวหน้ามันก็เสี่ยงแพ้มากกว่าเดิม
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่ต้องแข่งขันกับฝ่ายตรงข้ามที่เป็นพรรคก้าวไกล และความจำเป็นที่ต้องเร่งลงสนามตั้งแต่ต้นมือ เพื่อประกันความเสี่ยงเอาไว้ระดับหนึ่ง และถึงเวลาที่ “ตัวจริง” ต้องลงสนามมาคุมทัพเองแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า ต้องเป็น “อุ๊งอิ๊ง” และคงไม่ลงมาเป็นแค่รองนายกฯ หรือระดับรัฐมนตรี เพราะหากพลาดแล้วก็ถือว่าพลาดเลย จะกลับมายาก !!