เมืองไทย 360 องศา
วันก่อนระหว่างที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดหนองบัวลำภู โดยก่อนหน้านั้น เขาก็ได้ร่วมกิจกรรมกับชาวบ้าน และหน่วยราชการต่างๆ และที่น่าสนใจ ก็คือ ระหว่างเดินตรวจติดตามการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดและความยากจน และการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด “หนองบัวลำภูโมเดล” ที่โรงพยาบาลสุวรรณคูหา อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู โดยเยี่ยมชมการให้บริการรถฉุกเฉินพระราชทาน รถเอกซเรย์ระบบดิจิทัลพระราชทาน รถเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่
ระหว่างที่ นายกรัฐมนตรีได้ทดลองใช้บริการรถโมบายคลายเครียดจากโรงพยาบาลสวนปรุง ซึ่งเป็นรถเคลื่อนที่นำหมอออกไปให้คำปรึกษาประชาชน พร้อมทดลองเครื่องไบโอฟีดแบ็ก หรือเครื่องคัดกรองสภาวะสุขภาพจิตใช้เครื่องมือวัดระดับความเกร็งของกล้ามเนื้อ บริเวณนิ้วชี้ด้านซ้าย เป็นเวลา 1 นาที โดยเจ้าหน้าที่ยังได้สอบถามวันเดือนปีเกิด อายุของนายกฯ เพื่อใช้เป็นข้อมูล และให้นายกฯนั่งสบายๆ ไม่เกร็ง หายใจปกติ และนั่ง 1 นาที ห้ามขยับห้ามพูด เพื่อทดสอบว่ามีระดับความเครียดมากน้อยแค่ไหน ก่อนแปลผลการสะสมความเครียด
เมื่อผลตรวจออกมาเจ้าหน้าที่แจ้งนายกฯ ว่า ระดับความเครียดถือว่า เครียดอยู่ มีสภาวะความเครียด ความกดดัน ตื่นเต้นสูง ส่วนระบบประสาทดี ความบาลานซ์ของระบบประสาทอัตโนมัติทั้งสองด้านไม่สมดุลกัน แต่สุขภาวะหลอดเลือด เมื่อเทียบกับอายุแล้วถือว่าอยู่ในระดับที่ดี เทียบกับคนที่อายุ 30-40 ปี หลอดเลือดส่วนปลาย การไหลเวียนหลอดเลือดแดงดีมาก เจ้าหน้าที่ยังบอกด้วยว่า นายกฯ คงออกกำลังกายประจำ จึงทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดี
เจ้าหน้าที่ยังกล่าวว่า เรื่องระบบประสาทความบาลานซ์ไม่สมดุลกัน นายกฯจึงถามว่า ผลหมายถึงอะไร เจ้าหน้าที่ตอบว่า มีเรื่องของความตื่นเต้นและมีสภาวะความเครียดสูง ระดับ very high มีความเหนื่อยล้าของสภาวะร่างกาย จังหวะนี้นายกฯกล่าวว่า “แม่นมากเลย”
ขณะเจ้าหน้าที่กล่าวด้วยว่า ในส่วนความฟิตของร่างกายตอนนี้ไม่ค่อยฟิตเท่าไหร่ พร้อมแนะนำให้นายกฯพักผ่อนเยอะๆ
นั่นเป็นผลตรวจทางการแพทย์ที่หลอกกันไม่ได้ และสะท้อนให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรี “มีความเครียดสูงมาก” รวมไปถึงความเหนื่อยล้า หรือที่เรียกว่าร่างกาย “ไม่ฟิต” นั่นเอง
อย่างไรก็ดี สำหรับความเครียด ย่อมมีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว แต่ก็ล้วนก็ล้วนเป็น “ความกดดัน” จนทำให้เกิดความเครียด แน่นอนว่า สำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน เคยประกาศในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ ว่า จะทำงานแบบไม่พัก และไม่เหน็ดเหนื่อย และนี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ เขาเกิดความเครียด และเหนื่อยล้าดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ด้วย “สถานะที่ผิดปกติ” ของ นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกทั้งความ “พิเศษ” ของพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่าไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่น ที่มี “เจ้าของ” มีลักษณะไม่ต่างจาก “เถ้าแก่” และ “ลูกเถ้าแก่” ที่มีบทบาทในลักษณะชี้นำสูงมาก
แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงพรรคเพื่อไทยก็ย่อมมองเห็นเงาของ นายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวชินวัตร ในลักษณะเป็น “เงา” ทาบทับเข้ามาเต็มๆ และเมื่อมองนายทักษิณ เป็นเจ้าของพรรคแล้ว ก็ย่อมมองเห็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นหัวหน้าพรรค ว่าเป็น “ลูกเถ้าแก่” ที่เข้ามาดูแลกิจการแทนพ่อ นั่นเอง ขณะเดียวกัน เมื่อเป็นหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลเธอก็ไม่ต่างจาก “นายกฯเงา” ถึงขั้นที่เคยหลุดปากออกมาแล้วว่า “นายกฯ มีสองคน” ซึ่งแทบทุกคนหากมองการเมืองไทยแบบเข้าใจและรู้ทัน ก็ย่อมมองออกแบบนั้นอยู่แล้ว
เพราะเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงเวลานี้ถือว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เริ่มเข้ามามีบทบาทในรัฐบาลสูงมาก โดยเฉพาะการเข้ามาในลักษณะที่ร่วมอยู่ใน “คณะกรรมการชุดใหญ่” ที่ต้องจับตาก็คือ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “รองประธานซอฟต์เพาเวอร์” ที่กำลังถูกจับตามองกรณีขอใช้งบประมาณในการดำเนินการกว่า “ห้าพันล้านบาท” โดยยังไม่มีรายละเอียดของที่มาที่ไปมากนัก ซึ่งงบดังกล่าวเชื่อว่าจะถูกวิจารณ์ในเรื่องความซ้ำซ้อน และความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหนอย่างแน่นอน
นอกเหนือจากนี้ น.ส.แพทองธาร ยังเป็นประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทพลัส ที่ถือว่าเป็นอีกนโยบาย “เรือธง” อีกอย่างของพรรคเพื่อไทย
หากพิจารณาจากบทบาทและสถานะ “พิเศษ” ของคนใน “ครอบครัวชินวัตร” ดังกล่าว ก็ย่อมทำให้เป็นสาเหตุสำคัญที่อาจทำให้ นายเศรษฐา ทวีสิน เกิดความเครียดอยู่ตลอดเวลา นอกเหนือจากบทบาทนายกรัฐมนตรีของตัวเองที่มีภารกิจทางการมากมายอยู่แล้วก็เป็นได้ และหลายเรื่องเริ่มถูกวิจารณ์หนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน โดยเมื่อเร็วๆนี้ ก็เพิ่งถูกโจมตีเรื่องหลุดปาก “ตั๋วเพื่อไทย” ที่เกี่ยวกับเด็กฝาก ส.ส.ในตำแหน่ง “ผู้กำกับ” ที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่
หรือแม้แต่เรื่องนโยบาย “แจกเงินดิจิทัล” ที่กำลังถูกจับตามองว่า “น่าจะล้ม” เพราะจนถึงเวลานี้ยังไปไม่ถึงไหน แม้ว่าล่าสุด นายกรัฐมนตรี จะเพิ่งให้สัมภาษณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างการไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรว่า จะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความภายในสัปดาห์นี้ก็ตาม แต่เมื่อฟังจากปากของ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็น “แม่งาน” เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังบอกว่า เป็นแค่การส่งคำถามทางกฎหมายไปให้พิจารณาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการส่ง ร่าง พระราชบัญญัติกู้เงิน 5 แสนล้าน ไปให้ตีความแต่อย่างใด ถือว่ายังล่าช้าอืดอาด ย้อนแย้งกับที่เคยย้ำว่า “วิกฤต ต่อเนื่อง” มาตลอด
นอกเหนือจากนี้ยังมีเรื่องของ “นักโทษเทวดา” คือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ยังรักษาอาการด้วยโรคลึกลับมานานเกิน 100 วันที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ชนิดที่คณะแพทย์หมดทางเยียวยารักษาอาการให้ดีขึ้นได้เลย เพราะหากพิจารณาจากการรักษาต่อเนื่องมานานกว่า 3 เดือน ถือว่าเป็นโรคที่แปลกประหลาดมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี การดำรงอยู่ของ นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ “นักโทษเทวดา” ในลักษณะแบบนี้มันก็ย่อมถูกตั้งคำถามจากสังคมโดยเฉพาะในเรื่อง “คนไม่เท่ากัน” อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับว่า “กลัวถูกถาม” อยู่ตลอดเวลา โดยที่ตัวเองก็พูดไม่ออก บอกไม่ถูก น่าจะเกิดความอึดอัด ประกอบกับเสียงเยาะเย้ยทำนองว่า อยู่ภายใต้การชี้นำของนักโทษ เพราะคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลหลายคน ก็มองว่ามีที่มาจากไหน ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากบทบาทที่เริ่มเข้มข้นของ “อุ๊งอิ๊ง” มันก็เหมือนกับ “หายใจรดต้นคอ” ทุกอย่างเริ่มประดัง นี่อาจเป็นสาเหตุความเครียดพุ่งสูง ก็เป็นได้ !!