ข่าวปนคน คนปนข่าว
**รวยแล้ว รวยอยู่ รวยต่อ หรือไม่? ปูเสื่อรอชมทรัพย์สิน “2ป.” “ลุงป้อม-ลุงตู่” ป.ป.ช.เปิดให้รู้กัน
ฤกษ์งามยามดีศุกร์นี้ (23 พ.ย.) ฟังว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวน 18 ราย กรณีรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรี เข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรณีเข้ารับตำแหน่ง รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายป.ป.ช.
กวาดตาดูรายชื่อคอการเมืองก็ครางฮือขึ้นมาทันที เพราะไฮไลต์มีชื่อของ “พี่น้อง 2 ป.” คือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งมาทั้งคู่
นอกจากนั้น ในจำนวน 18 คนก็จะมีบรรดาอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลลุง ก็อย่างเช่น “ดอน ปรมัตถ์วินัย” อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีต รมว.การต่างประเทศ “พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล” อดีต รมช.กลาโหม “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” รมช.คลัง “จุติ ไกรฤกษ์” อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ “ประภัตร โพธสุธน” อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์
งานนี้สปอตไลต์ จะฉายวาบไปที่ “ลุงตู่” มากกว่า “ลุงป้อม” แน่นอน เพราะตั้งแต่อยู่ในตำแหน่งนายกฯ ป.ป.ช.เคยเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ครั้งแรกครั้งเดียว ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 หรือ 9 ปีที่แล้วนู้น
ถ้ายังจำกันได้ “พล.อ.ประยุทธ์” แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2557 ว่า มีทรัพย์สินรวมคู่สมรส ทั้งสิ้น 128,664,535 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 654,745 บาท เป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ 102,317,152 บาท
แต่ที่เป็น “ประเด็น” ที่ฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น หยิบมาบดขยี้ ไล่บี้ กรณีรับมรดกเงินจากการขายที่ดินของบิดา “พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา” จำนวน 540 ล้านบาท จากยอดการขาย 600 ล้านบาท โดยบริษัทที่รับซื้อที่ดินของบิดาพล.อ.ประยุทธ์ คือ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่มีที่ตั้ง อยู่บนเกาะ“บริติช เวอร์จิน” ที่ได้ชื่อเป็นเกาะสวรรค์ของนักฟอกเงินแล้วก็ยังเชื่อมโยง เป็นบริษัทเครือของ“เจ้าสัว” เจริญ สิริวัฒนภักดี อีกต่างหาก
ส่วน “ลุงป้อม” โดนดราม่า “นาฬิกายืมเพื่อนมา” ในตอนนั้น แต่ต่อๆ มาก็อาศัยความเป็น “ลุงป้อม” ใช้ใจบันดาลแรง ใช้มุก ไม่รู้ ไม่รู้ ถูๆ ไถๆ มาได้จนถึงวันนี้
ศุกร์นี้ ป.ป.ช. เปิดทรัพย์สินของสองลุง “ลุงป้อม-ลุงตู่” ออกมา ลองเอาไปเทียบกับปีที่เข้ามามีอำนาจ เรืองอำนาจอยู่ 8 ปีดูว่า จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน จะ“รวยแล้ว รวยอยู่ หรือ รวยต่อ” อดใจรอดูกันได้นะจ๊ะ
**โดนขยี้รัวรัว!! เมื่อ“นายกฯนิด” หลุดปากเรื่อง “ตั๋วเพื่อไทย” ฝากตั้ง “ผู้กำกับใหม่”
มาอีกเคส กับการพูดแบบ “ลืมคิด” ของนายกรัฐมนตรี “Sock Power”
เหตุเกิดระหว่างการประชุมสส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 21พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เมื่อ “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้เข้าร่วมประชุม และขึ้นโพเดียมบอกเล่าถึงประสบการณ์การเดินทางไปร่วมประชุมเอเปค ที่สหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ ว่าได้พบปะ กระทบไหล่ ผู้นำชาติมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐฯและจีน และยังมีการเจรจาดึงนักธุรกิจรายใหญ่ระดับโลก หลากหลายสาขา เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
จากนั้น ก็วกมาพูดถึงการแก้หนี้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนในประเทศ มีทั้งหนี้ในระบบ นอกระบบ แนวทางการแก้ไขก็จะต้องมีการประชุมร่วมฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนายอำเภอ ผู้กำกับใหม่ ผู้การจังหวัด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เพื่อที่จะให้เจ้าหนี้ กับลูกหนี้ ได้ร่วมกันขจัดปัดเป่า แก้ปัญหา
“นายกฯนิด” บอกว่าจะมีการประชุมร่วม ระหว่างนายอำเภอ กับผู้กำกับใหม่ ในวันที่ 8 เดือนหน้า ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี
เมื่อพูดถึง “ผู้กำกับใหม่” นายกฯก็อมยิ้ม ขยายความว่า...มั่นใจว่าในห้องนี้คงมีผู้ผิดหวังมากกว่าสมหวัง เพราะมีการขอกันมาเยอะเหลือเกิน แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง...
ฟังแล้ว จะว่าเป็นการทวงบุญคุณก็ไม่เชิง แต่จะออกแนวประมาณว่า...ที่ฝากๆ กันมานั้น ได้จัดการให้แล้วนะ ก็มีได้บ้างไม่ได้บ้างเป็นธรรมดา เพราะขอกันมาเยอะเหลือเกิน
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งสื่อหลัก ทั้งโซเชียลฯ หยิบมาเป็นประเด็น จับมาขยี้ เปรียบเทียบกับตอนเดินสายหาเสียงเลือกตั้ง ที่“เศรษฐา” ประกาศขึงขังกาละมังแตก ว่า เกลียดนักกับระบบอุปถัมภ์ ใช้เส้นสาย แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล รับรองไม่มี
เมื่อเรื่องนี้ไปเข้าหู “รังสิมันต์ โรม” สส.พรรคก้าวไกล ที่เคยสร้างชื่อโด่งดังจากเรื่อง“ตั๋วช้าง” ในวงการตำรวจ ก็เข้าทางเลย บอกว่าได้ฟังคำพูดของนายกฯแล้ว ชัดเจนว่านายกฯเกี่ยวข้องกับการแทรกแซง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ มีระบบอุปถัมภ์ ระบบเส้นสาย ชัวร์
บอกว่ามีการขอมาเยอะ ชัดเจนอย่างยิ่งว่าสส.เป็นคนขอ เพราะพูดต่อที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณว่า ต้องมี “ตั๋วเพื่อไทย” ถึงจะได้เป็นตำรวจในระดับที่สูงขึ้น ได้ตำแหน่งหน้าที่การงาน ที่ดีขึ้น
...รัฐบาลนี้เริ่มต้นไม่ทันไร ก็ทำให้ระบบเส้นสายเติบโตเสียแล้ว ไม่แปลกที่เราได้เห็นองค์กรตำรวจเป็นแบบนี้ นี่ใช่ไหม ถึงไม่อยากใช้คำว่าปฏิรูป นี่ใช่ไหมถึงไม่กล้ามาตอบกระทู้ในสภา น่าผิดหวังนัก ผิดหวังแทนตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่มีเส้นสาย...
“โรม” บอกว่าเรื่องนี้ถือว่า เข้าข่ายผิดจริยธรรม, ผิดพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ, ผิดรัฐธรรมนูญ ที่ห้ามสส.-สว. แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
ขณะที่ “ชัยชนะ เดชเดโช” สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร บอกว่า คณะกรรมาธิการฯ มีมติจะเชิญนายกฯ มาชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 7 ธ.ค.นี้
เพราะเห็นว่า ทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 (3) ที่กำหนดชัดเจนว่า ห้าม สส.-สว. ไปมีส่วนได้เสีย เกี่ยวข้องกับเรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ สส.คนไหนมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากตำแหน่ง สส.ได้ จึงต้องเชิญนายกฯ มาชี้แจง ตอบคำถามว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ถ้าเป็นจริงอย่างนายกฯพูด รับรองเดือดร้อนกันทั้งพรรคแน่
เมื่อ“ตั๋วเพื่อไทย” กลายเป็นประเด็นร้อน “นายกฯนิด” จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องชี้แจง หักล้างคำพูดของตัวเอง ที่พูดในที่ประชุมพรรค โดยยืนยันว่า ตัวเองไม่มีอำนาจ ไม่เคยแทรกแซง ไม่เคยก้าวก่ายในการแต่งตั้ง ข้าราชการ และข้าราชการตำรวจเลย เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะพิจารณาตามผลงาน...
“ยืนยันอีกครั้งว่า ผมไม่ได้ไปก้าวก่าย หรือไปสั่งการกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการแต่งตั้งผู้กำกับ และความจริงแล้ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของผมด้วย”
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีนั้น เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยตำแหน่งอยู่แล้ว อย่างเช่นการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ที่ผ่านมา “นายกฯนิด” ก็ไปนั่งหัวโต๊ะ ตรวจโผ เพราะหนึ่งในอำนาจหน้าที่ของ ก.ตร. คือ กำกับดูแลการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจให้เรียบร้อย เป็นธรรม
เรื่อง“ตั๋วเพื่อไทย” แต่งตั้งโยกย้าย “ผู้กำกับ” จะเอาผิดนายกฯ เอาผิดสส.เพื่อไทย ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยาน หลักฐาน และคงต้องรอผลกันอีกนานกว่าจะรู้ถูก รู้ผิด ... แต่ตอนนี้นายกฯนิด “เสียรังวัด” ป่นปี้ไปแล้ว!!