เมืองไทย 360 องศา
ทำท่ากลายเป็น “ขี้ปาก” ชาวบ้านอีกแล้ว สำหรับอาการที่เรียกว่า “ปากไว” หรือ “พูดอะไรไม่คิด” ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับการที่พูดในวงประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันก่อน (21 พ.ย.) ที่จับความได้ว่า มีการแทรกแซงการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตามที่มีการระบุกันก็คือ ตำแหน่ง “ผู้กำกับ” นั่นแหละ
เปิดย้อนดูคลิปก็พบว่า ช่วงหนึ่ง นายเศรษฐา ได้รายงานถึงการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินของประชาชน โดยแบ่งเป็นหนี้ในระบบ และหนี้นอกระบบ สำหรับการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ จะมีการประชุมวันที่ 28 พ.ย.นี้ โดยจะมีการแถลงรายละเอียดกันในวันนั้น พร้อมทั้งมีการเสนอให้ใช้กลไกข้าราชการในพื้นที่ เช่น นายอำเภอ กับผู้กำกับการสถานีตำรวจ และผู้บังคับการจังหวัด ซึ่งเขาบอกว่า นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.ของพรรค เป็นผู้จุดประกายในเรื่องนี้
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำคำว่า “ผู้กำกับใหม่” โดยบอกว่า “ผู้กำกับใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่าคงมีผู้ผิดหวังมากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ ที่ขอตำแหน่งไป เพราะรู้สึกมันเยอะเหลือเกิน แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง แต่ก็เป็นผู้กำกับใหม่ ซึ่งเราจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กันให้เข้าใจถึงถ่องแท้ และต้องกำจัดปัญหานี้ออกไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเราเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ”
ฟังความดังกล่าวของ นายเศรษฐา ทวีสิน ย่อมเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย โดยเฉพาะคำพูดที่บอกว่า “ต้องมีคนผิดหวัง มากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ที่ขอตำแหน่งไป” ซึ่งก็คือ มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยในห้องประชุม ที่ขอตำแหน่งผู้กำกับไประหว่างการแต่งตั้งโยกย้ายของสำนักงานตำแหน่งแห่งชาติครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อฟังจากปากนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้ทราบว่าผลการแต่งตั้งออกมาแล้ว และก็มีทั้งคนที่สมหวัง และผิดหวังตามที่ว่า
อาจเป็นเพราะ นายเศรษฐา ทวีสิน มาจากนักธุรกิจบ้านจัดสรร แล้วพุ่งตรงมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเลย ไม่เคยมีประสบการณ์ หรือคุ้นเคยกับระบบราชการ หรืออย่างน้อยก็ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน และด้วยนิสัย “ปากไว” มักทำให้เกิดความผิดพลาดแบบไม่ทันคิด เช่น ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งเกิดสงครามอิสราเอล กับกลุ่มฮามาส ของปาเลสไตน์ เมื่อเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา และมีคนไทยเสียชีวิตและถูกจับเป็นตัวประกัน นายเศรษฐา ก็ด่วนประณามกลุ่มฮามาสทันที โดยไม่รอประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบเสียก่อน กลายเป็นว่านำประเทศไทยและคนไทยไปเป็นคู่ขัดแย้ง จนทำให้คนไทยที่เป็นตัวประกันเกิดความเสี่ยง หรืออย่างน้อยก็ทำให้เกิดความยุ่งยากในการเจรจาปล่อยตัว เป็นต้น
คราวนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าในที่สุดแล้วคงไม่อาจไปไกลถึงขั้นเอาผิดได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เสียรังวัด “เสียเครดิต” และยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า “ระบบเส้นสาย” ในวงการโยกย้ายตำรวจยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะ “พวกเด็กเส้นนักการเมือง” เพราะต้องไม่ลืมว่า ระดับตำแหน่งผู้กำกับ ก็ต้องมียศพันตำรวจเอก เมื่อมีการฝากฝัง เล่นเส้น หรือที่ใช้ศัพท์แสงใหม่ว่า “ตั๋วนายกฯ” ระบบที่น่ารังเกียจก็ยังไม่ถูกแก้ไข ตรงกันข้ามอาจหนักกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาเรื่องราวความอื้อฉาว ในเรื่องการ “เล่นพวก” ของ “ระบอบทักษิณ” เมื่อหลายปีก่อนได้กลับมาแล้ว โดยเฉพาะการโยกย้ายข้าราชการ
หากจำกันได้เมื่อครั้งที่เขาเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ ได้กล่าวย้ำถึงการโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงฤดูกาลโยกย้าย ว่า เพราะเป็นฤดูกาลโยกย้ายพอดี และเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า เรื่องพวกนี้มักมีเกิดขึ้นอยู่ตลอดไม่ใช่แค่ว่าช่วงนี้ ซึ่งหลายๆ ช่วงรัฐบาลไหนก็ตามที ซึ่งตนอยากจะเน้นย้ำข้าราชการเป็นภาคส่วน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการขับเคลื่อนประเทศ เขาทำงานมาตลอดชีวิต อยากได้ความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน การปูนบำเหน็จทั้งหลายก็ขออยากให้เป็นธรรมด้วยผลงาน ไม่ใช่จากการซื้อขายตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี เมื่อ นายเศรษฐา ได้หลุดคำพูดออกมากลางวงประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในเรื่องการ “ฝากฝังตำแหน่งผู้กำกับ” ก็แน่นอนว่าได้ถูกนำไปขยายผลทันที ทั้งในส่วนของคณะกรรมาธิการของสภาฯ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมาธิการตำรวจ ก็เตรียมเชิญนายกฯมาชี้แจงในเรื่องนี้ ขณะที่ฝ่ายค้าน ที่เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน จากพรรคก้าวไกล เช่น นายรังสิมันต์ โรม เป็นต้น ก็ได้ทีถล่มทันที
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ชัดเจนในเรื่องตั๋วยังมีอยู่ และเรื่องนี้มีปัญหาจริง ปกติตั๋วจะไม่มีใบเสร็จ หรือหลักฐานที่เป็นเอกสารราชการในการยืนยันสิ่งเหล่านี้ เพราะส่วนมากจะเป็นเป็นการโทรฝากกัน แต่คนที่เป็นระดับนายกฯ พูดในที่ประชุมสส. ไม่สามารถมองเป็นอย่างอื่นได้ว่ามี สส.ของพรรคเพื่อไทย มาขอนายเศรษฐา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแน่นอน และไม่ใช่ผิดกฎหมายอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนถึงระบบอุปถัมภ์ ที่อยู่ภายใต้รัฐบาล นายเศรษฐา ตอนหาเสียงประกาศว่าจะไม่ยอมรับ รวมถึงจัดการระบบเส้นสาย แต่กลับพูดออกมาได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ว่ามีผู้กำกับบางคนที่ผิดหวัง บางคนก็สมหวัง ซึ่งฟังได้ว่ามี ส.ส.ฝากมา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายของตำรวจชั้นผู้น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากไม่มีเส้นสาย ก็จะไม่สามารถเติบโตได้ ซึ่งกังวลว่า ในประเด็นดังกล่าวอาจจะขยายผลไปถึงการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการในระดับอื่นๆ ด้วย
“จากการฟังคำพูดของนายกฯ ฟังเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้น คำสัญญาที่นายตำรวจพูดกับผมตอนที่ไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งยืนยันว่าว่า ไม่มีตั๋ว แต่สิ่งที่นายกฯ พูดนั้นชัดเจน ไม่ต้องบิดเป็นคำพูดอื่น เพราะชัดเจนว่า นายเศรษฐา เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายจริง บางคนอาจถามว่า มีหลักฐานเพื่อเอาผิดนายกฯ ผมขอบอกว่าการฝากแต่งตั้งนายตำรวจไม่สามารถหาเอกสารทางราชการได้ เพราะใช้การสนทนาทางโทรศัพท์ ต่อสายเพื่อฝากได้ ดังนั้น คำพูดของนายกฯ ที่ผมเชื่อว่าเป็นการแฉตัวเอง หรือการหลุด ชัดเจนว่าจะฟังได้ว่าการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจมีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นในขณะนี้” นายรังสิมันต์ กล่าว
ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ชี้แจงถึงกรณีพูดในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ย. เรื่องการวิ่งเต้นโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับ (ผกก.) ว่า “โอ้ย ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกครับ ผมยืนยันว่า ผมไม่มีอำนาจ และไม่เคยแทรกแซง ไม่เคยก้าวก่ายในการแต่งตั้งข้าราชการและข้าราชการตำรวจเลย เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะพิจารณาตามผลงาน”
นายกฯ กล่าวว่า อย่างที่ทราบประชาชน โดย ส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน มีการมาพูดคุยกันเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่เรื้อรังมา แล้วอาจจะมีความไม่สบายใจกับเจ้าหน้าที่ จึงได้มีการพูดคุยกันตนเองยืนยันว่า ส.ส.ไม่ได้มาขอ
“เราพูดเรื่องความ ไม่ได้พูดเรื่องคน ความคือมีปัญหาในพื้นที่ เราเองก็มาพูดกันถึงปัญหาในพื้นที่มากกว่า เอาเรื่องความเป็นหลัก ผมยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้ไปก้าวก่ายหรือไปสั่งการกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการแต่งตั้งผู้กำกับ และความจริงแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของผมด้วย”
นั่นเป็นคำพูดชี้แจงหรือเรียกว่า “แก้ตัว” ก็ว่ากันไป เมื่อถูกถามย้ำถึงเรื่องการใช้ “เส้นสาย” ในการโยกย้ายข้าราชการ ก็สุดแล้วแต่ว่าจะมีใครเชื่อคำพูดสักกี่คน แต่ถึงอย่างไรมันสะท้อนให้เห็นถึงความ “ปากไว” แบบไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้น มันสร้างผลกระทบและเครดิตกับตัวเองแค่ไหน และแม้ว่าในที่สุดแล้วก็คงเงียบหายไป อีกทั้งการโยกย้ายก็ผ่านไปแล้ว มีคนสมหวัง และผิดหวังอย่างที่ว่า ก็คงต้องรอจังหวะโยกย้ายคราวต่อไป ว่าจะเข้าถูกช่องทางหรือไม่เท่านั้นเอง !!