“เศรษฐา“ เข้าประชุมเพื่อไทย แจงผลงาน ส.ส. เผย Apple ขอพบ คุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเตรียมลงทุน หลังพบผู้พัฒนาแอพฯ 3 แสนคน สูงเป็นอันดับ 2 อาเซียน ทั้งเป็นฐาน supply chain คุณภาพ ย้ำ ศก.แย่ จีดีพีวิกฤติ ยันดิจิทัลวอลเลตจำเป็นด่วน แถลงใหญ่หนี้นอกระบบ 12 ธ.ค.
วันนี้ (21 พ.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวในการประชุมสส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่า วันนี้ไม่ได้มาในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่มาในฐานะสมาชิกพรรค เพราะสส.ทุกท่านคือตัวแทนของพี่น้องประชาชน วันนี้จะมาพูดจุดประกายเรื่องหนี้นอกระบบและจะนำไปสานต่อ แบ่งเป็น 2 ส่วน
โดย หนี้นอกระบบ เป็นหนี้ที่ใหญ่กว่าหนี้ในระบบจะประชุมกันในวันที่ 28 พฤศจิกายน ตามดำริของ สส.มานิตย์ เพราะเป็นผู้ที่บอกให้เราไปคุยกับนายอำเภอ ผู้กำกับ ผู้การจังหวัด รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เพื่อที่จะให้เจ้าหนี้กับลูกหนี้ขจัดปัญหา ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะมีการแถลงข่าว และประชุมร่วมครั้งแรก ระหว่างอำเภอกับผู้กำกับฯ
เรื่องของการกำจัดหนี้นอกระบบเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากที่ได้ประชุมที่นี่แล้วได้ไปดูตัวเลขหลายตัว ก็น่ากลัว ซึ่งส.ส. หลายท่านก็มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ เชื่อว่านโยบายนี้หากนำไปปฏิบัติจริงก็จะต้องพึ่งส.ส.ไปช่วยกันดูแล พูดคุยกับผู้กำกับ นายอำเภอ ช่วยกันติดตามผลงานในการดูแลพี่น้องประชาชนต่อไป
ส่วนหนี้ในระบบ นายเศรษฐา ระบุว่า รัฐบาลมีหลายนโยบายที่จะช่วยเหลือครู SME ตำรวจและหลายภาคส่วนที่ประสบปัญหาตลอดเวลาตั้งแต่โควิด รวมถึง กยศ. โดยจะมีการแถลงข่าวใหญ่ 12 ธันวาคมนี้ ทั้งหมดนี้จะเป็นการแก้ไขหนี้ในระบบและนอกระบบอย่างบูรณาการทำให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน
ส่วนวันที่ 8 ธันวาคมนี้ จะมีการประชุมร่วมกันและมาผู้กำกับใหม่กับนายอำเภอ ถือเป็นครั้งแรกที่จะมีการประชุมที่ อิมแพ็ก เมืองทองธานี /ส่วนเรื่องยาเสพติด ยังไม่ถึงเวลา ขอพูดเรื่องหนี้ก่อน หากมีนโยบายที่ปราบปรามยาเสพติดชัดเจนจะนำมาพูดคุยกันอีกต่อไป
ส่วนการเดินทางไปต่างประเทศมี 2 ส่วนคือการพบปะนักธุรกิจของสหรัฐ และการพบปะผู้นำ
เรื่องการพบผู้นำถือเป็นเรื่องไม่สบายใจ มีโอกาสพบผู้นำ 21 ประเทศในการประชุมเอเปก รับทราบถึงความแตกแยก ความขัดแย้งในหมู่ผู้นำค่อนข้างมาก เพราะธรรมในวงการทูตจะพูดจากันภาษาดอกไม้ มีการพูดคุยกันด้วยภาษารุนแรง มีการแบ่งพรรค แบ่งโซน อย่างชัดเจน เราเองเป็นประเทศที่เป็นกลาง ทำตัวลำบาก เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย
ส่วนเรื่องการพบปะนักธุรกิจ ถือเป็นเรื่องใหญ่ และใช้เวลาพบปะเยอะมากทั้ง Amazon/ Google/ Facebook/ Microsoft /Apple ทุกคนมาคุยกับเราด้วยท่าทีที่อยากจะมาลงทุนจำนวนมาก ส่วนมากที่จะมาลงทุนก็ต้องอาศัยนิคมอุตสาหกรรม มีบางนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจ อาจจะไม่ตรงกับเป้าหมายของเราเท่าไหร่ แต่เข้าใจว่านิคมอุตสาหกรรมมีอยู่ทั่วประเทศ อยากให้ทุกท่านทำความเข้าใจ พูดคุย กับนักธุรกิจที่ต้องมาลงทุนต่างๆอาจจะต้องมีการพบปะพูดคุยกับบีโอไอประจำพื้นที่ ถ้าเข้าใจหลักการถึงสิทธิประโยชน์ในเรื่องของภาษีอาจจะมาลงลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม นอกเหนือจากอีอีซี ก็จะมีนิคมอุตสาหกรรมส่วนอื่นด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายหลักของต่างประเทศที่จะมาลงทุน และจำทำให้ยกระดับรายได้ของพี่น้องประชาชนในระยะกลางและระยะยาวให้เป็นประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ ตนเองมีโอกาสพูดคุยกับ apple ซึ่งเป็นบริษัทมือถือ เขามาขอพบตนเอง ยอมรับว่าตกใจ เพราะจริงๆ แล้วเราเป็นคนตัวเล็กๆ ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายขอเข้าพบ ครั้งนี้ Tim Cook เป็นผู้บริหารระดับใหญ่ของบริษัท มาพูดคุยกับทีมเรา ตนเองก็กะวนกะวายนิดหน่อย ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร ซึ่งเขามากันทั้งทีม มาเพื่อปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันว่า Apple มี supply chain ในประเทศไทยที่มีคุณภาพ และคนที่พัฒนา Applicationในไทยมีถึง 3 แสนคน สูงเป็นที่สองในอาเซียน คิดว่าอันดับหนึ่งคือประเทศอินโดนิเซีย แต่อย่าลืมว่าประเทศอินโดมีประชากร เยอะกว่าไทย 4-5 เท่า ซึ่งตนเองก็ได้เสนอไปว่ามีผู้พัฒนาแอพฯ ใน จ.เชียงใหม่ เยอะ จึงเสนอว่าอยากให้มาร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยที่รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือ อาจจะเป็นจุดแรกที่ทำให้ apple อาจเข้ามาทำงานกับเราได้
นอกจากนี้ตนมีโอกาสไปพูดคุยกับ มหาวิทยาลัยสแตนเฟิร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับโลก มีหน่วยงานมาฝังตัวที่ จ.น่าน และเชียงใหม่ แล้ว มาทำเรื่องของการทำลายป่า แหล่งน้ำ และฝุ่น PM 2.5 เข้ามีความตั้งใจจะมาทำงานกับเราต่อ เพื่อดูแลและหาทางแก้ไขอย่างบูรณาการในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ โดยรัฐบาลจะประสานงานและดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป
ขณะที่ เมื่อวานก่อนที่สภาพัฒน์ฯ จะแถลงตัวเลขทางเศรษฐกิจ ตนเองมีโอกาสได้พูดคุยกับเลขาฯ ก่อน พอตนเองเห็นตัวเลขออกมาที่ 1.5% ในไตรมาส 3 ซึ่งตนถือว่าตัวเลขที่วิกฤต เพราะประเทศ คู่แข่งอย่าง มาเลเซีย ก็ยังเติบโต อยู่ที่ 3.3% ของเราเมื่อคูณสองก็ยังไม่เทียบเท่าเขา ยังคงต่ำกว่าเขาเท่าหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งของเราโดยตรงจริงๆ ก็ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง โดยเลขาธิการสภาพัฒน์ เป็นผู้บอกกับตนเองอย่างชัดเจนว่า ติดว่าจะเห็นเลข 2 แต่ก็ไม่เห็น ไม่ใช่ 1.9 1.8 1.7 1.6 แต่คือ 1.5 ซึ่งถือว่าต่ำมาก จึงขอเน้นย้ำว่าเรื่องนี้จำเป็น สำคัญและเร่งด่วน สำหรับประเทศนี้
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ยังย้ำถึงเรื่องดิจิทัลวอลเลตว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น และเข้าใจว่า ส.ส.ทุกคนที่เป็นตัวแทนของประชาชน เข้าใจว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนเหมือนกัน