xs
xsm
sm
md
lg

“ธีระชัย” แย้งเพื่อไทย แก้เศรษฐกิจโตช้าต้องเพิ่มความสามารถแข่งขัน อย่าสร้างหนี้ดันจีดีพีแบบฉาบฉวย แนะกฤษฎีการีบเคาะผิดวินัยการคลังไม่ต้องรอลุ้นในสภา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ธีระชัย” โต้คำชี้แจงเพื่อไทยแจกเงินดิจิทัล ชี้ แก้เศรษฐกิจโตช้าต้องเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ไม่ใช่สร้างหนี้เพื่อดันตัวเลขจีดีพีแบบฉาบฉวย ชี้ เงื่อนไขจำกัดการใช้จะทำให้เกิด “ตลาดส่วนลด” มีคนทำนาบนหลังรัฐบาลนับแสนล้านบาท เตือนแก้กฎหมายขยายเพดานหนี้ จะเป็นประเพณีให้รัฐบาลต่อไปทำตามเพื่อกู้เงินมาสร้างคะแนนนิยม แนะกฤษฎีการีบแจ้งรัฐบาลผิดวินัยการเงิน ไม่ต้องไปลุ้นในสภา

วันที่ 12 พ.ย. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล โต้แย้งคำชี้แจงของพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับโครงการแจกเงินประชาชนผ่านดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 1 หมื่นบาท มีรายละเอียดดังนี้


พรรคเพื่อไทยชี้แจงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต รูป 1

เศรษฐกิจไทยโตช้า คาดว่า ปีนี้จะโตเพียง 2.6%
- 10 ปีที่ผ่านมา ไทยโตเฉลี่ย 1.9% ช้ากว่าเพื่อนบ้าน
- หนี้ครัวเรือนสูงถึง 91% ต่อ GDP
- ตัวชี้วัดเศรษฐกิจด้านการอุปโภคบริโภค-การผลิตต่ำลง

ผมแนะนำ มีคนเถียงได้ว่า เศรษฐกิจไทยโตช้า สาเหตุเพราะความสามารถในการแข่งขันลดลง เทียบกับเพื่อนบ้าน

การที่รัฐบาลจะกู้หนี้สาธารณะ เพื่อดันตัวเลข จีดีพี แต่ไม่เน้นโครงการที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันนั้น ย่อมไม่เป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุ

แต่เป็นการแก้แบบฉาบฉวย ตรงกับที่คุณหญิงสุดารัตน์วิจารณ์ “กู้มาแจก ใครก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ฝีมือ”


รูป 2
- เป้าหมายเพิ่ม GDP จากโตเพียง ~ 2% เป็น 5% ต่อปี
- ประเทศอื่นเริ่มกระตุ้นแล้วเช่นกัน อาทิ ฮ่องกงแจกคูปอง = 13,000 บาท ใช้ใน 6 เดือน ญี่ปุ่นใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ = 3 ล้านล้านบาท

อาจมีคนทักท้วงว่า ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ดุลงบประมาณของฮ่องกง ส่วนใหญ่เกินดุล จนรัฐบาลมีเงินสะสมมากมาย
ฮ่องกงจะคืนเงินสะสมไปให้ประชาชนบ้าง ก็เป็นเรื่องสมควร
ทำนองเดียวกับสิงคโปร์ ที่คืนรายได้ที่เก็บเกิน ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งคราว

แต่ดุลงบประมาณของรัฐบาลไทย ปีนี้ขาดดุล 7 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มจะขาดดุลมากขึ้น จึงไม่มีเงินสะสม ที่จะเอามาคืนให้ประชาชน

ส่วนญี่ปุ่นนั้น ที่จะแจกเงิน ก็เป็นรัฐสวัสดิการ
หนี้สาธารณะของฮ่องกง 38% ของจีดีพี
หนี้ของญี่ปุ่น 264% ก็จริง แต่ธนาคารชาติญี่ปุ่นเป็นผู้ซื้อหนี้ของรัฐบาลเอาไว้ 43% คือ พิมพ์เงินเยน ให้รัฐบาลใช้
และดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ก็อยู่ที่ระดับศูนย์มานาน เพิ่งจะยอมให้ขยับขึ้น
สรุปแล้ว สถานการณ์คลัง แตกต่างกัน


รูป 3

- ประชาชนได้สิทธิในการใช้จ่าย ใช้ใน 6 เดือนภายในอำเภอตามภูมิลำเนา
- ให้ใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค
- พัฒนาต่อยอดเป้าตัง ใช้ Blockchain
- มีมาตรการ e-Refund เสริมการกระตุ้น
- และมีกองทุนเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่

ผมขอเตือนว่า ยิ่งตั้งเงื่อนไขมาก ห้ามเอาไปชำระหนี้ ห้ามจ่ายค่าโรงเรียนลูก ห้ามจ่ายค่าขนมลูก ห้ามใช้จ่ายในเดือนที่ 7 เป็นต้นไป ยิ่งจะทำให้เกิดตลาด “ส่วนลด”

ถ้าตัวกลางคิดส่วนลด 20% ก็เท่ากับรัฐบาลสร้างธุรกิจให้คนกลุ่มนี้ นับแสนล้านบาท “ทำนาบนหลังรัฐบาล”

ส่วนกองทุนเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ นั้น ไม่ได้อยู่ในโครงการที่หาเสียงตั้งแต่ต้น
ถ้าจะทำโครงการ แต่เฉพาะส่วนนี้ 1 แสนล้านบาท ก็จะดีกว่า
อนึ่ง สำหรับโปรโมชั่นว่า “พัฒนาต่อยอด “เป๋าตัง” ใช้ Blockchain”
พรรคเพื่อไทยควรจะชี้แจงด้วยว่า กรณีจะใช้ Blockchain ไปต่อยอด “เป๋าตัง” นั้น
- ผู้เขียนโปรแกรม ซูเปอร์แอพ จะเป็น บริษัทเอกชน หรือธนาคารกรุงไทย?
- ธนาคารกรุงไทยยินยอมให้เชื่อมกับแอป “เป๋าตัง” โดยมีเงื่อนไขอย่างไร?
- กรณีถ้าหากถูกแฮ็ค ถูกขโมยข้อมูล ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ?


รูป 4

- เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกระดับ-ทุกพื้นที่ลงทุนประกอบอาชีพได้
- กระตุ้นการลงทุน-การผลิตสินค้าทั้งประเทศ

ในรูป 3 ก็บอกอยู่แล้วว่า รัฐบาลจะให้ประชาชนใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค และไม่เห็นว่าจะมีเงื่อนไขหรือวิธีการใด ที่จะชักจูงให้ประชาชนนำเงินนี้ไปลงทุนประกอบอาชีพ

ส่วนความหวังว่า ภาคธุรกิจจะบูมการลงทุนเพื่อผลิตสินค้า ต้องตอบคำถามว่า จะมีความเป็นไปได้จริงหรือ? กว่าบริษัทจะตั้งหลัก บูมการลงทุน ซื้อวัตถุดิบ ก็หมดเวลาหกเดือนไปแล้ว


รูป 5

- เศรษฐกิจจะเติบโตจากการกระตุ้น
- และสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินเพดาน 70%

รัฐบาลที่กู้หนี้สาธารณะมาแจกเพื่ออุปโภคบริโภค ซึ่งไม่ได้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประชาชนนั้น อาจถูกวิจารณ์ว่า ใครก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ฝีมือ

ต่อไป เมื่อเข้าปีสุดท้าย ก่อนยุบสภา ก็อาจกลายเป็นประเพณี รัฐบาลใช้เสียงข้างมาก ยกระดับเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP
ขึ้นเป็น 80% 90% 100% ก็ได้
แล้วก็แจกเงินซ้ำสอง ซ้ำสาม ซ้ำสี่ เพื่อความนิยมทางการเมือง ก็ได้
ประชาชนก็จะชอบ เพราะได้เงินวันนี้ ส่วนจะต้องร่วมกันใช้หนี้ ก็เป็นวันหน้า

ทั้งนี้ กรณีมีนักกฎหมายที่ให้ความเห็นว่า ใช้พระราชบัญญัติเพื่อกู้เงิน 5 แสนล้านบาทได้ นั้น น่าเสียดายว่า เน้นพิจารณาเฉพาะการแสวงหาช่อง ที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ในสมการของการเมือง แต่ในรายชื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 12 ผมเห็นว่า มีหลายบุคคลที่เข้าใจถึงปรัชญา จิตวิญญาณวินัยการเงินการคลัง

คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงน่าจะแนะนำรัฐบาล ว่า การใช้พระราชบัญญัติกู้เงินกรณีนี้ ไม่เข้าเงื่อนไขของพระราชบัญญัติวินัยการเงินฯ ไม่ควรให้ต้องไปลุ้นในรัฐสภา ไม่ควรให้ต้องไปร้องเรียนที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ผมไม่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาลนะครับ แต่เขียนเพื่อแนะนำ ให้มีการแก้ไขปรับปรุง และให้คิดคำตอบเผื่อไว้ทุกแง่ทุกมุม

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2566
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในฐานะประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ


กำลังโหลดความคิดเห็น