xs
xsm
sm
md
lg

“กู้มาแจก” 5 แสน ล. เหมาสินค้าเจ้าสัว !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

“ไม่กู้ครับ ไม่ก่อหนี้ จะไม่กู้สักบาท เราจะใช้วิธีบริหารจัดการเงินงบประมาณ”
“อายุ 16 ปีขึ้นไป แจกถ้วนหน้า”
“แจกรวดเดียวภายใน 6 เดือน”
“พรรคเพื่อไทย คิดใหญ่ ทำเป็น และทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำได้ หรือทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้มาแล้ว” ฯลฯ

นั่นเป็นคำยืนยันจากปากของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก่อนหน้านี้ ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายสำนัก รวมไปถึงบนเวทีหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ตัวเองยังเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค

แต่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลง (อ่านโพย) ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ที่บอกว่า ไม่กู้ กลายเป็นเตรียมออกพระราชบัญญัติ “กู้เงิน 5 แสนล้านบวก 1 แสนล้าน รวมแล้วต้องกู้ 6 แสนล้านบาท” แยกเป็น “กู้มาแจก 5 แสนล้านบาท” ส่วนอีก 1 แสนล้านบาท บอกว่าเป็นกองทุนสนับสนุนเพื่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และที่เคยบอกว่าจะแจกรวดเดียวใน 6 เดือน ก็กลายเป็นเงื่อนไขต้องจ่ายบาทแรกใน 6 เดือน และให้สิ้นสุดโครงการภายในเดือนเมษายน ปี 70 หรือใน 4 ปี และเริ่มโครงการในเดือนพฤษภาคมปีหน้า จากเดิมที่บอกว่าเริ่มแจกตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ปีหน้า หรือไม่เกินไตรมาสแรก

ต้องบอกว่า “เละครับ” สำหรับรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย เพราะหลังจากการแถลงในวันที่ 10 พฤศจิกายน เป็นต้นมาแล้ว กลายเป็น “คนขี้โม้ พรรคขี้โม้ คิดใหญ่ แต่ทำไม่เป็น” ไปเสียฉิบ เพราะแค่เรื่องใหญ่เรื่องเดียว คือ “ไม่กู้สักบาท แต่กลายเป็น กู้ 6 แสนล้านบาท” เคยบอกว่าจะแจกทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กลายมาเป็นแจกเฉพาะอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีเงินเดือนต่ำว่า 7 หมื่นบาท หรือมีเงินฝากรวมกันไม่เกิน 5 แสนบาท จำนวนราว 50 ล้านคน ใช้งบประมาณ ราว 5 แสนล้านบาท (กู้) จากเดิมที่คิดจะแจกราว 54-56 ล้านคน หรือ ใช้เงินราว 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งจะว่าไป ตัวเลขก็ลดลงไม่มากนัก

เรื่องกลับลำมา “กู้มาแจก” ถือว่าเรื่องใหญ่ที่สุด เพราะแม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะพอใจ และรอรับเงินหมื่นบาท (ที่เป็นเงินในเป๋าตัง) ไม่ใช่เงินสดก็ตาม แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ “ทุกคนต้องเป็นหนี้ที่เพิ่มขึ้นมา” ขณะที่บางกลุ่ม แม้จะเป็นส่วนน้อยที่ไม่ได้รับเงินหมื่น กลับต้องมาร่วมใช้หนี้จำนวน 6 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลกู้มาแจกนั่นเอง

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเงื่อนไขในการใช้จ่าย ว่าต้องใช้จ่ายสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น ห้ามนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เติมน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ จ่ายค่าเทอม เป็นต้น ขยายรัศมีการจ่ายภายในอำเภอตามที่ระบุในบัตรประชาชน รวมไปถึงการซื้อสินค้าผ่านร้านค้าย่อยที่แม้ไม่อยู่ในระบบภาษีได้ แต่ต้องลงทะเบียนก่อน แต่ถึงอย่างไรร้านค้าเหล่านี้ไม่สามารถขึ้นเงินดิจิทัลได้ตามที่กำหนดเอาไว้ภายใน 6 เดือน

เมื่อเป็นแบบนี้ ในปลายทางประโยชน์ก็จะตกไปอยู่กับ “ทุนใหญ่” อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น “ผู้ผลิต” ที่ในประเทศไทย มีอยู่แค่สองสามรายเท่านั้น รวมไปถึง “ร้านสะดวกซื้อ” ที่มีอยู่ในทุกอำเภอ เหมือนกับว่า รัฐบาลทุ่มเงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อซื้อสินค้ากับ “เจ้าสัว” เรียกว่า “รับไปเต็มๆ” ของจริง นั่นคือ รับทั้งการซื้อสินค้าในร้าสะดวกซื้อในทุกอำเภอทั่วประเทศแล้ว ในขั้นสุดท้ายยังรับแลกเงินดิจิทัล ในอีก 6 เดือนหลังจากนั้น เพราะร้านค้าเล็กๆ แม้ว่าจะเข้าร่วมโครงการได้ แต่เมื่อไม่อยู่ในระบบภาษี ก็ไปแลกเงินดิจิทัลไม่ได้ อย่างมากก็ใช้สิทธิเงินหมื่นบาทไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค จากร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัวอยู่ดี เหมือนกับว่า รัฐบาลเศรษฐา ทุ่ม 5 แสนล้าน “เหมาร้านเจ้าสัว” นั่นเอง

ขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นคำถามใหญ่ ก็คือ แล้วมันจะ “กระชาก” หรือเป็น “พายุหมุน” ทางเศรษฐกิจได้จริงหรือเปล่า ในเมื่อเงื่อนไขใหม่ที่ นายกรัฐมนตรี แถลงก็คือ โครงการแจกเงินจะไปสิ้นสุดใน “เดือนเมษายนปี 70” หรือภายใน 4 ปี ไม่ใช่แจกรวดเดียวภายใน 6 เดือน ตามที่เคยพูดเอาไว้ เรียกว่า “ไม่ตรงปกไปไกลมาก”

นี่ว่ากันเฉพาะเรื่อง “ไม่ตรงปก” หรือไม่เป็นไปตามที่เคย “โม้” เอาไว้ว่าด้วยเรื่อง พรรคเพื่อไทย “คิดใหญ่ทำเป็น” กลายเป็นว่า “คิดใหญ่จริง แต่ทำไม่เป็นหรือเปล่า” ยังไม่ต้องพูดเรื่อง “จะทำได้จริง” หรือเปล่า เพราะมันผิดกฎหมาย ทั้งรัฐธรรมนูญและมาตรา 53 ของกฎหมาย “วินัยการเงินการคลัง” ที่ห้ามกู้ หากไม่ฉุกเฉินเร่งด่วนจริงๆ โดยที่รอการจัดทำกฎหมายงบประมาณไม่ทัน ซึ่งอย่าได้แปลกใจที่มีบางคนออกมาเย้ยว่า นี่เป็นการ “หาทางลง” แบบเนียนๆ ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย โดยให้หน่วยงานอิสระเป็น “แพะรับบาป” หลังจากมี “นักร้อง” ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ แล้วตีตก นั่นเอง

ซึ่งคนที่ตั้งข้อสังเกตแบบนี้ มีทั้ง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล จากพรรคก้าวไกล ที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด รวมทั้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรรายการหลอมรวมประเทศไทย อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ก็ดักคอเอาไว้ก่อน รวมไปถึงระบุว่า ในที่สุดผลประโยชน์ก็จะตกไปอยู่ “ทุนใหญ่” เพียงสองสามเจ้าเท่านั้น เพราะเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และเจ้าของร้านสะดวกซื้อ

“รัฐบาลเองน่าจะเห็นแล้วว่า ไม่มีทางที่จะไปได้จริงๆ ทางเลือกนี้เป็นการหาทางลงมากกว่าที่จะเดินหน้าโครงการนี้จริงๆ ถ้ากฤษฎีกาตีความเข้าข้างให้ผ่าน และ ส.ส.ในสภาก็ให้ผ่าน สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ภาระหนี้ในแต่ละปีงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของงบรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะเป็นภาระงบประมาณอย่างใหญ่หลวง สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้จะทำภาระดอกเบี้ยเกิน 10% ในงบประมาณปี 68 ทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ได้พูดถึงทั้งเรื่องภาระหนี้ และภาระดอกเบี้ย ความเสี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้น หาก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ถูกทำแท้งตั้งแต่ต้นโดยกฤษฎีกา” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่า แบบนี้เหมือนเป็นการขายผ้าเอาหน้ารอดหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ถ้าจะพูดแบบนั้นน่าจะได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาจากการที่ไม่ได้คิดนโยบายอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนหาเสียง เมื่อถึงทางตันจึงต้องหาทางลงแบบนี้

นั่นเป็นคำพูดแบบฟันธงของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ที่เกิดขึ้นทันทีหลังการแถลงของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสร็จสิ้นลง

เอาเป็นว่า นโยบายนี้ของรัฐบาลไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ก็ตาม แต่กลายเป็น เริ่มนับหนึ่งในเรื่อง “ความล้มละลาย” ทางน่าเชื่อถือแล้ว เพราะทุกอย่างที่แถลงมามัน “ไม่ตรงปก” ตรงกันข้ามกับที่เคยพูดเอาไว้ทุกอย่าง ที่เคยบอกว่า “คิดใหญ่ ทำเป็น” มันก็น่าจะไม่ใช่แล้ว เพราะถ้า “กู้มาแจก” แบบนี้ ใครๆ ก็ทำได้ แต่คำถามก็คือ “หนี้ที่เพิ่มขึ้นมา” ใครต้องเป็นคนจ่าย ประชาชน ใช่หรือไม่ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น