ปธ.คณะอนุฯ พบ กมธ.พัฒนาการเมือง สภาหารือออกแบบคำถามประชามติ “พริษฐ์” เผย ตั้งอนุฯศึกษาระบบเลือกส.ส.ร.ด้าน “นิกร” พอใจสองฝ่ายเห็นตรงกัน
วันนี้ (2 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่มี นายนิกร จำนง ประธานคณะอนุฯเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธาน กมธ. โดยใช้เวลาในการหารือประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อหารือเกี่ยวกับการออกแบบคำถามในการทำประชามติ แบบใด และครอบคลุมทุกประเด็น
นายพริษฐ์ กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เนื่องจากทางคณะอนุฯต้องการเดินสายในการรับฟังความคิดเห็นของแต่ละภาคส่วนเกี่ยวกับกระบวนการการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการทำประชามติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งข้อย้ำว่า การพูดคุยครั้งนี้เป็นการพูดคุยกับตนและกรรมาธิการไม่ใช่พูดคุยกับสมาชิกพรรคก้าวไกล เพราะทางอนุฯจะเข้าพูดกับพรรคก้าวไกลในวันที่ 14 พ.ย.นี้อยู่แล้ว โดยทางคณะอนุฯได้แจ้งว่าต้องการจะทำแบบฟอร์มเพื่อสอบถามความเห็น ส.ส.ทั้ง 500 คนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเห็นด้วยหรือไม่ กับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือเห็นอย่างไรกับการทำสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงปัญหาที่ ส.ส.มองว่า รัฐธรรมนูญปี 60 สมควรที่จะแก้ไข โดยการออกแบบคำถามจะต้องมีการเปิดกว้างเพียงพอให้ ส.ส.สามารถแสดงความเห็นและเจตนารมณ์ของตัวเองได้ ซึ่งทางคณะอนุฯก็จะนำความเห็นที่ได้แลกเปลี่ยนกันวันนี้ไปพิจารณา และปรับปรุงชุดคำถามเพิ่มเติม
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ทาง กมธ.ได้มีการตั้งอนุกรรมาธิการ 1 ชุด จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ฝ่ายการเมือง 4 คน โดยแบ่งเป็น 2 คน จากฝ่ายค้านรวมตนด้วย และอีก 2 คนจากฝ่ายรัฐบาล อีก 3 คนเป็นนักวิชาการ และอีก 3 คนเป็นตัวแทนจากภาคประชาชน 3 กลุ่ม ที่ขับเคลื่อนเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยจะเริ่มประชุมนัดแรกในวันที่ 3 พ.ย. ทั้งนี้ อนุกรรมาธิการจะมาศึกษาระบบเลือกตั้ง ส.ส.ร. หากอยู่ภายใต้กรอบของ ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เราสามารถออกแบบระบบเลือกตั้ง และทางเลือกอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้เป็นระบบเลือกตั้งตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความนิยมของประชาชน เรื่องความหลากหลายทางวิชาชีพ กลุ่มสังคม รวมถึงมีพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเข้ามามีส่วนร่วมด้วย และเมื่ออนุฯศึกษาระบบเลือกตั้งเสร็จทั้งหมดก็จะนำรายงานและข้อเสนอส่งไปให้กับคณะกรรมการศึกษาฯของรัฐบาล เพราะก่อนหน้านี้ มีข้อกังวลว่า หาก ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด อาจจะมีข้อกังวล ก็หวังว่า รายงานชุดนี้จะคลายข้อกังวลดังกล่าวได้ และทำให้รัฐบาลมีข้อมูลครบถ้วนมากขึ้นว่าจะเดินหน้าด้วยการมี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่
ด้าน นายนิกร กล่าวว่า การหารือในวันนี้ ได้ความเห็นที่ดีมาจากรรมาธิการ แต่จะมีประเด็นที่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่หลายส่วน ซึ่งในแต่ละข้อที่อาจเป็นคำถามเฉพาะของ ส.ส.ก่อน เพราะเป็นโหวตเตอร์ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงเล็กน้อย เช่นเดิมเรามีการตั้งคำถามว่าตามนโยบายของรัฐบาล การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเว้นหมวด 1 หมวด 2 แต่ทางคณะกรรมาธิการให้ความเห็นว่า ถ้าไม่เว้นหมวด 1 หมวด 2 จะมีคำถามหรือไม่ ซึ่งเราก็รับไปและจะต้องไปคุยในคณะกรรมการอาจจะต้องมีคำถามขึ้นมากก็เป็นได้ นอกจากนั้น ยังมีเรื่องที่เห็นแย้งกันอยู่ คือ เรื่อง ส.ส.ร.วันนี้ได้ข้อสรุป ว่า โดยจะถามว่า มี ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ และให้มีหรือไม่ ส่วนจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ก็อาจจะต้องยกไว้ก่อนเพราะมีคำถามในเชิงลึก อาจจะให้คณะกรรมาธิการฯที่ตั้งโดยสภาฯในอนาคตเป็นผู้พิจารณาว่าจะทำอย่างไร
นายนิกร กล่าวว่า ในที่ประชุมยังได้มีการพูดถึงแนวทางการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าอยากจะแก้ทั้งสองฝ่ายที่เห็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งก็จะพยายามและได้มีการพูดคุยที่นอกเหนือจากคำถามคือความเป็นไปได้ หลักการในทางการเมือง ซึ่งเป็นการทำความเข้าใจกัน โดยทางคณะกรรมาธิการฯจะตั้งคณะอนุกรรมาธิการฯเพื่อที่จะทำงานกันอย่างใกล้ชิด จะได้หารือกันในคำตอบสุดท้าย ที่จะนำไปสู่คำถามที่มีต่อประชาชน
ส่วนที่มีความกังวลเกี่ยวกับการทำประชามติ ซึ่งในที่ประชุมก็ได้มีการพูดคุยกันโดยส่วนตัวเห็นด้วย เพราะรู้อยู่แล้วว่าการใช้เสียงกึ่งหนึ่งของทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องแรงจริง หากเสียงไม่ถึงแต่ทุกคนหวังจะแก้ก็แก้ไม่ได้เลย เพราะประชาชนออกมาใช้สิทธิไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ซึ่งทางคณะอนุฯ และชุดที่ศึกษาเห็นว่าเราจะแก้ไปก่อนโดยใช้กฎหมายปัจจุบัน เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเตะถ่วง แต่เห็นด้วยที่จะให้ทาง กมธ.พัฒนาการเมืองไปยกร่าง เพราะอาจจะต้องปรับปรุงกฎหมายประชามติ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใช้เกี่ยวกับสัดส่วนการถามว่าจะต้องถามกี่ครั้ง เพราะครั้งหนึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านบาท ซึ่งการทำประชามติอาจจะมีเรื่องอิเลคทรอนิกส์มาด้วยหรือไม่ อาจจะต้องฝาก กมธ.ไปพิจารณา