xs
xsm
sm
md
lg

แจก 10,000 บาท ภาคธุรกิจอยากให้ใช้ “เป๋าตัง” ของกรุงไทย ไม่ต้องลงทุนทำใหม่ ไม่ต้องกลัวเงินไม่หมุน **ไหวมั้ย “ก้าวไกล” เพิ่งตั้งไข่ทีมแก้ความรุนแรงทางเพศ เคส “ตีเมีย” โผล่อีกแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**แจก 10,000 บาท ภาคธุรกิจอยากให้ใช้ “เป๋าตัง” ของกรุงไทย ไม่ต้องลงทุนทำใหม่ ไม่ต้องกลัวเงินไม่หมุน

โครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” ยืนยันว่าต้องทำให้ได้ โดยจะแจกให้แก่ผู้มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ผ่านระบบ “บล็อกเชน” เพื่ออัดฉีดเงินประมาณ 5.6 แสนล้าน เข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลังจากถดถอยมาหลายปี กำลังเป็นประเด็นร้อนที่อยู่ในกระแสวิพากวิจารณ์ และเต็มไปด้วยคำถาม

และหนึ่งในคำถามยอดฮิต คือในเมื่อจะแจกแล้วทำไม่ไม่แจกเป็นเงินสด ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่คนคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ทำไมต้องเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ทำไมต้องทำบล็อกเชนใหม่ ตรงนี้มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ ... ถึงขั้นมีกระแสข่าวออกมาว่า จะต้องใช้งบประมาณถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ในการทำ “ซูเปอร์แอปฯ” สำหรับจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต

งานนี้ เล่นเอา “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ ต้องรีบออกมาชี้แจงว่า “ซูเปอร์แอปฯ” หรือแอปพลิเคชั่นในการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะทำนั้น ไม่ใช่บริษัท แต่เป็นธนาคารที่อยู่ในการกำกับของรัฐ เป็นผู้ดำเนินการ โดยไม่ได้มีการจ้างบริษัทภายนอก ยืนยันว่า ไม่มีการจัดซื้อ จัดจ้าง

ส่วนธนาคารใดผู้จะทำแอปฯ นั้น ต้องให้ธนาคารในการกำกับดูแลของรัฐ ไปประชุมและมอบหมายกันเอง โดยจะมีการประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 19 ต.ค.นี้ ที่มีการปล่อยข่าวว่า ค่าจัดทำแอปฯสูงถึง 12,000 ล้านบาทนั้น ไม่มีทาง ฟังแล้วก็ยังตลกอยู่เลย ไม่มีแอปฯ ไหนพัฒนาในราคานั้น ส่วนจะราคาเท่าไร ยังไม่กล้าตอบตัวเลขที่ชัดเจน แต่ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น

เศรษฐา ทวีสิน
“รมต.จุลพันธ์”ยังบอกว่า ที่ไม่ใช้แอปฯเป๋าตัง เพราะมีความแตกต่างในระบบ และวัตถุประสงค์ก็แตกต่าง โดยเฉพาะ “บล็อกเชน” นั้นมีกลไกที่โปร่งใส ป้องกันการทุจริตได้ด้วย นอกจากนี้แอปฯในอดีต ข้อมูลยังเป็นของรัฐ แต่ตัวแอปฯ ไม่ใช่ของรัฐ ดังนั้นการต่อยอด จึงมีข้อจำกัด แต่แอปฯใหม่จะดึงข้อมูลของรัฐที่เป็นประโยชน์มาใช้ได้

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการเก็บค่าแลกเงินร้านค้า ในการแลกเงินเข้าและออก 3% นั้น อันนี้มโนไปเอง ไม่มี เพราะไม่ใช่คริปโต โครงการนี้เป็นการเติมเงิน 10,000 บาทเข้าไปในกระเป๋าเงินดิจิทัล ประชาชนจะได้เงิน 10,000 บาทเต็มๆ ไม่มีหัก รวมถึงไม่มีการจัดเก็บเงินเปอร์เซ็นต์จากร้านค้าด้วยเช่นกัน

ล่าสุด คณะอนุฯขับเคลื่อนโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ได้เสนอปรับเงื่อนไข ขยายขอบเขตการใช้จ่ายจากรัศมี 4 กม. เป็นภายในเขตอำเภอ ตามที่อยู่ในภูมิลำเนา เพราะมีรหัสไปรษณีย์ตรวจสอบได้ ซึ่งจะเสนอให้นายกรัฐมนตรี เคาะ 24 ต.ค.นี้

ขณะที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ พอได้ข่าวเรื่องค่าจัดทำ “ซูเปอร์แอปฯ” 1.2 หมื่นล้านบาท แถมอ้างว่าบริษัทในเครือข่ายของนายกฯเป็นผู้รับงาน ก็รีบชี้แจงทันทีเช่นกันว่า การจัดทำแอปฯ ไม่มีเรื่องค่าคอมมิชชั่น ไม่มีการหักเบี้ยใบ้รายทาง หรือถูกหักเงิน 3% และไม่มีการจ้างเป็นหมื่นล้านบาท อย่างที่กล่าวหา แต่ตัวเลขน้อยมาก และไม่เกี่ยวกับ “แสนสิริ” หรือบริษัทเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPGX) ที่ตนเองเคยเป็นกรรมการอยู่ แน่นอน

ส่วนที่ตนเองไม่ได้ชี้แจงให้กระจ่างในช่วงนี้ เพราะ ต้องรอให้คณะกรรมการศึกษาเงินดิจิทัลฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ชำนาญการจากหลายฝ่าย มีข้าราชการระดับสูง ที่เห็นตรงกันบ้าง เห็นต่างกันบ้าง ได้มีข้อสรุปก่อน แล้วชี้แจงทีเดียวจะได้ไม่เกิดความสับสน ระหว่างนี้ถ้ามีข้อเสนอแนะเข้ามา เราก็พร้อมนำไปพิจารณา

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในสายตาของผู้นำภาคธุรกิจอย่าง “สนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บอกว่าเห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาการส่งออกก็ชะลอตัว อุตสาหกรรมต่างๆ หรือแม้แต่ภาคเกษตรก็เช่นกัน ถ้าเราสามารถทำให้ประชาชนมีอำนาจการซื้อ มีกำลังซื้อ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ สามารถเพิ่มกำลังการผลิต การจ้างงานก็จะเพิ่มขึ้น

“สนั่น” ยังบอกว่าอยากจะให้ใช้แพลตฟอร์มที่มีอยู่แล้วเช่น “เป๋าตัง” ของแบงก์กรุงไทย สามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องไปลงทุนทำใหม่ และไม่ต้องกลัวว่าเงินจะไม่หมุน เพราะเมื่อมีเงินอัดฉีดเข้าไปในระบบ การสร้างงานแล้ว ก็จะทำให้เงินมีการหมุนเวียนหลายรอบได้เช่นกัน

ที่ผ่านมา มีเสียงวิพากวิจารณ์ว่า ที่ไม่ใช้แอปฯ “เป๋าตัง” กับแบงก์กรุงไทย เพราะรัฐบาลกลัวเสียหน้า ที่ไปรับมรดกจาก “รัฐบาลลุงตู่” กลัวเป็นการให้ “เครดิตลุงตู่” แล้วลุงตู่จะได้หน้า จะอยู่ในใจประชาชนต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นการให้น้ำหนักในทางการเมืองแบบคิดเล็กคิดน้อยจนเกินไป

ถ้ามองมุมกลับ ก็ต้องไม่ลืมว่า ที่มี “รัฐบาลเศรษฐา” ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เพราะ “ลุงตู่” ให้การสนับสนุนหรอกหรือ

สนั่น อังอุบลกุล
**ไหวมั้ย “ก้าวไกล” เพิ่งตั้งไข่ทีมแก้ความรุนแรงทางเพศ เคส “ตีเมีย” โผล่อีกแล้ว

ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ สำหรับปัญหาการคุกคามหรือความรุนแรงทางเพศ ในพรรคก้าวไกล หลังเกิดเหตุมาแล้วหลายกรณี ทั้งสส.ทำร้ายแฟนสาว สส.ส่งข้อความหื่นใส่ทีมงานหาเสียง ผู้สมัครสส.ล่วงละเมิดทางเพศสุภาพสตรีจากพรรคอื่น จน “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคหนีไม่ออก ยอมรับว่าพรรคกำลังมีปัญหาเรื่องนี้ ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ขณะที่ “ครูใหญ่ป๊อก” ปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่เคยบอกว่าจะไม่วิพากวิจารณ์พรรคก้าวไกลแล้ว ก็ยังอดรนทนไม่ไหว ออกมากระตุกต่อมสำนึกเพราะตั้งแต่มีประเด็นข่าวพวกนี้ ก็ไม่เห็นระดับแกนนำพรรคจะแสดงอะไรออกมา หรือมีก็น้อยมาก แถมล่าช้า เรียกได้ว่า ไม่สมกับเป็นพรรคที่ประกาศจุดยืนว่าให้คุณค่าเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมทางเพศ แถมตัวส.ส.ผู้ถูกร้องเรียนยังไปไลฟ์สดแถลงเองแบบเอาดีใส่ตัว ยิ่งทำให้พรรคเสียหายหนัก

ล่าสุด เมื่อวานที่ผ่านมา “เบญจา แสงจันทร์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ออกมาเปิดเผยว่าพรรคก้าวไกลได้จัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศ

ตั้งวัตถุประสงค์ไว้สูงส่งสวยหรูว่า เพื่อยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับการรับมือ และการป้องกันปัญหาการคุกคามและความรุนแรงทางเพศ ให้ทุกองคาพยพของพรรค มีความเข้าใจที่เท่าเทียมกัน สอดคล้องกับคุณค่าหลักของพรรคที่ยึดถือในเรื่องความเสมอภาคทางเพศ ต่อต้านการคุกคาม และยุติความรุนแรงทางเพศเพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตของสังคม

คณะทำงานพิเศษชุดนี้ จะประกอบด้วยคนในพรรคและคนนอก ที่มีความรู้ มีทักษะ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ มาทำงานร่วมกัน โดยมี “เบญจา แสงจันทร์” เป็นประธาน

เบญจา แสงจันทร์
“เบญจา” ยอมรับว่า จากการหารือในที่ประชุม สส. เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา ทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าเรื่องการแก้ไขและป้องกันปัญหาการคุกคามและความรุนแรงทางเพศ เป็นวาระสำคัญเร่งด่วนที่พรรคต้องดำเนินการ รวมถึงเป็นวาระของสังคมที่ทุกพรรคการเมืองต้องร่วมกันผลักดันและถูกตรวจสอบ โดยหลังจากนี้อีก 1 สัปดาห์ ตนจะออกแบบการทำงานและผลลัพธ์ที่คาดหวังจากคณะทำงานพิเศษฯ เพื่อเสนอต่อกรรมการบริหารพรรคต่อไป

ปรากฏว่า ยังไม่ทันที่คณะทำงานพิเศษจะเริ่มลงมือทำอะไร ทางพรรคก็มีเคสใหม่มาให้ต้องแก้อีก เมื่อ เฟซบุ๊กเพจ “เป็นหนึ่ง” ของกลุ่มจิตอาสาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว ได้โพสต์ข้อความ สรุปได้ว่า ทีมงานของกลุ่มที่มีชื่อเล่นว่า “ลักษณ์” ซึ่งเป็นนักธุรกิจพันล้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกสามี ที่เป็นคณะทำงานของพรรคก้าวไกล จ.สกลนคร ทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ ซ้ำยังถ่ายโอนทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสนับพันล้าน ออกไปให้กับบุคคลที่ 3 จนความสัมพันธ์มาถึงขั้นแตกหัก เตรียมฟ้องหย่าแล้ว

ขณะที่เพจ “วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร” ที่ติดตามเปิดโปงปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศของคนในพรรคก้าวไกลมาแล้วหลายกรณี ได้โพสต์ข้อความรับลูกว่า “ทุกคนคะ นักการเมืองทำร้ายร่างกายผู้หญิงอีกแล้วค่ะ วันนี้ พี่อ้อ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง จะพาพี่ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกายจากสามี ซึ่งเป็นคณะทำงานของพรรคก้าวไกลสกลนคร ไปออกรายการเคลียร์ชัดๆ ช่อง WP23 เวลา 13.00 น. ค่ะ”

เรียกว่า ฝ่ายหญิงพร้อมเปิดหน้าชนออกสื่อเต็มตัว เพราะนอกจากไปให้สัมภาษณ์ในรายการ “เคลียร์ ชัด ชัด” ทางช่อง “เวิร์คพอยท์” แล้วยังไปที่รายการ “TOP NEWS TALK” ทางช่อง “เจเคเอ็น18” ต่อ

สรุปความได้ว่า สุภาพสตรีผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวครั้งนี้ เป็นนักธุรกิจค้าอาหารสัตว์ในภาคอีสาน และปัจจุบันขยับขยายมาทำปาล์มด้วย โดยรู้จักกับทีมงานพรรคก้าวไกลรายนี้ มาตั้งแต่ปี 2552 แต่งงานอยู่กินด้วยกันในปี 2557

เธอเคยถูกสามีทำร้ายครั้งรุนแรงมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรก ย้อนไปเมื่อ 6-7 ปีก่อน เมื่อเธอแสดงอาการหึงหวง ที่สามีไปยุ่งกับเด็กเอ็น ในงานปาร์ตี้กลุ่มออฟโรด และเกิดทะเลาะวิวาทกันระหว่างขับรถกลับบ้าน เธอทั้งโดนตบและต่อยจนหูฉีกเย็บเกือบ 10 เข็ม ยังมีแผลเป็นอยู่จนทุกวันนี้ แต่ครั้งนั้นก็ให้อภัยเพื่อรักษาครอบครัว และรักษาธุรกิจเอาไว้

หญิงที่ถูกคณะทำงานพรรคก้าวไกลทำร้าย
จุดแตกหัก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.ย. หลังจากสามีหายไป 2 อาทิตย์ โดยไม่สามารถติดต่อได้เลย เมื่อกลับมาจึงเข้าไปถามดีๆ แต่กลับโดนด่า บอกเบื่อ รำคาญ ไม่อยากเห็นหน้า ซ้ำไล่ให้ไปตายกับบุพพการี เพราะรู้ว่าเธอกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ก็เอาปมตรงนี้มาด่า จนเธอโมโหสุดขีด เอาตุ๊กตาที่อยู่โรงรถออกมาทุบกระจกรถมัสแตงป้ายแดง ทั้งด้านหน้าด้านหลัง สามีก็ปรี่เข้ามาชกต่อย ทำร้ายร่างกาย คิ้วแตกเลือดอาบเป็นทางยาวลงมาที่แก้ม ส่วนขอบตา ก็บวมช้ำ

เธอตัดสินใจไปแจ้งความ ข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่ฝ่ายชายก็แจ้งความกลับ ข้อหาทำลายทรัพย์สินคือ รถมัสแตง ทั้งที่รถคันนี้เป็นสินสมรส และมีประกันชั้น 1 รวมทั้งแจ้งข้อหาลักทรัพย์ ที่เธอไปเปิดตู้เซฟที่เป็นสินสมรส เอาของบางส่วนไปขาย เพราะสามีไม่ให้เงินเลย

กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เธอทนไม่ไหวเตรียมฟ้องหย่าแบ่งสินสมรส เพราะไม่อยากโดนทำร้ายอีกเป็นครั้งที่ 3

เมื่อเรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไป “เพชร” กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ก็รีบโพสต์ข้อความทาง X @petchy 66 ว่า “ไม่ใช่คณะทำงานพรรคนะครับ เคยอาสามาช่วยหาเสียง และสมัครเป็นสมาชิกพรรคตอนเดือนสิงหาคมหลังเลือกตั้ง อันนี้ถือเป็นการแชร์ข้อความอันเป็นเท็จ ใส่ร้าย ให้เกิดความเกลียดชัง ไม่ต้องลบนะครับ เพราะผม Copy ไว้แล้ว ยินดีด้วยนะครับ”

เป็นการบอกปัดว่า “ผู้ชายตีเมีย” รายดังกล่าว ไม่ใช่คณะทำงานพรรค เป็นแค่อาสาสมัครช่วยหาเสียง และเพิ่งมาสมัครเป็นสมาชิก พร้อมขู่กลับไปในตัวว่า จะฟ้องคนที่เอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อ

แต่เพจ “วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร” ก็เอาหลักฐานจากเพจ “พรรคก้าวไกล สกลนคร” ที่ลงภาพเมื่อวันที่ 3 ก.ย. พร้อมคำบรรยาย “คณะทำงานพรรคก้าวไกล” มายันกลับทันที

เรื่องนี้ ถึงอย่างไร พรรคก้าวไกล ก็คงปฏิเสธไม่ออกว่า “ผู้ชายตีเมีย” รายนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ถึงไม่ใช่ “คณะทำงาน” อย่างที่ “เพชร กรุณพล” รีบออกมาปฏิเสธ แต่คนที่เป็นอาสาช่วยหาเสียงแถมเป็นสมาชิกพรรค ก็คือคนของพรรคอยู่ดี

“คณะทำงานพิเศษเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศ” ที่ เบญจา แสงจันทร์ เป็นประธาน เจองานหินจริงๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น