“จตุพร” ท้า “เศรษฐา” คนคิด แจกเงินดิจิทัล วางสินทรัพย์ส่วนตัวค้ำประกัน “ประเทศฉิบหายคุณก็ฉิบหายด้วย” สำเร็จได้คะแนนเสียง เสียหาย ต้องรับผิดชอบ “ถูกยึดทรัพย์” ชี้ “ป.ป.ช.” ตั้งคณะกรรมการศึกษา ส่อเหมือนจำนำข้าว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 ต.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า
กรณีพรรคเพื่อไทยต้องการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ขณะนี้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งผู้รู้ด้านต่างๆ มาเป็นกรรมการศึกษาแล้ว โดยคาดว่า คนหนึ่งที่จะเป็นกรรมการคือ ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
อีกทั้งเชื่อว่า กรณี ป.ป.ช.ตั้งกรรมการนั้น คงจะมาในวิธีการเดียวกับโครงการรับจำนำข้าว ที่ตั้งกรรมการคู่ขนานขึ้นมาศึกษา และเคยยื่นบันทึกให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หยุดดำเนินการมาแล้ว เมื่อนิ่งเฉยจึงถูกดำเนินคดีอาญาในศาลนักการเมือง ดังนั้น เมื่อประกาศโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ธปท. และกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ คงได้ศึกษาคู่ขนานกันไป
“จตุพร” กล่าวว่า หากรัฐบาลยังมุ่งมั่นจะทำดิจิทัลวอลเล็ต จึงขอเรียกร้องให้นำทรัพย์สินของผู้คิดและผลักดันโครงการนี้มาค้ำประกัน ถ้าเกิดผิดพลาดจะถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด แม้จะมีมูลค่าไม่เท่ากับจำนวนเงินแจก 5.6 แสนล้านบาทก็ตาม
“ถ้าทุจริตคอร์รัปชัน แล้วพาระบบการเงิน การคลังของประเทศพังต้องถูกยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดินให้หมด โดยเอาทรัพย์สินที่แสดงบัญชีทรัพย์สินมาทำสัญญาประกันไว้เลยว่า ถ้าโครงการนี้มีความผิดพลาด รัฐสามารถยึดเงินส่วนนี้ไปเลย”
“จตุพร” กล่าวอีกว่า ถ้าแจกเงินดิจิทัลเกิดความเสียหายขึ้น สิ่งนี้เป็นความฉิบหายของชาติ ไม่ใช่มาแก้ตัวโดยเอาเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นเดิมพัน ซึ่งการออกตัวแก้ต่างเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องความรับผิดชอบกับการสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ดังนั้น จึงต้องมีการค้ำประกันการแจกเงินดิจิทัล จึงเป็นการเดิมพันให้หมดหน้าตัก และเทหมดตัวกันไปเลย เพราะเมื่อทำโครงการแล้วเกิดความเสียหายกับประเทศต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
“ถ้าโครงการดิจิทัลสำเร็จ พรรคเพื่อไทยก็ได้คะแนนเสียงตามที่คิดอ่านทางการเมืองกันไว้ แต่หากเกิดความฉิบหายขึ้น คุณต้องฉิบหายด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ให้ประเทศไทยมาฉิบหายอย่างเดียว”
“จตุพร” กล่าวด้วยว่า ตนไม่ได้กลัวว่าโครงการดิจิทัลจะทำให้ต่างชาติทึ่งตลึงประเทศไทยทำได้ แต่ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว ซึ่งไทยเคยมีบทเรียนมาแล้วกับต่างชาติเข้ามากวาดซื้อสินทรัพย์ในไทยในราคาถูก โดยมีกรณีศึกษาจากเศรษฐกิจล่มจมในปี 2540 และรัฐบาลตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) แล้วต่างชาติเข้ามาซื้อสินทรัพย์ราคาถูกทำให้รัฐขาดทุนมากถึง 7 แสนล้านบาท จากนั้นนำไปขายกลับให้คนไทยในราคาแพง จนวันนี้ยังใช้หนี้ต่างชาติไม่หมด ด้วยบทเรียนเช่นนี้ยังจะกล้าให้เดินไปตามแนวทางเดียวกันอีกเหรอ
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า พรรคเพื่อไทยอย่าได้อ้างถึงความสำเร็จสมัยพรรคไทยรักไทยใช้หนี้เงินกู้ไอเอ็มเอฟหมดก่อนกำหนดมาตอบโต้ เพราะเป็นคนละเรื่องกับการคิดโครงการพาประเทศไทยไปเสี่ยง หากเทียบเคียงกับการรับจำนำข้าวและโครงการอื่นๆ ที่ไม่สำเร็จแล้ว ยังหมักหมมปัญหาตามมาอีกมากมาย แล้วจะว่าอย่างไร
“มีผู้รู้บอกว่า การทำบล็อกเชนบัญชีคนทั้ง 56 ล้านคนนั้น อาจมีราคาการทำถึงหมื่นล้านบาท ซึ่งเราไม่น่าเสียเงินในส่วนนี้เลย อย่าว่าแต่เป็นหมื่นเลย พัน หรือ ร้อยล้านก็ไม่ควรเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อต้องการแจกให้ใช้ใน 6 เดือน แล้วจะบ้ามาเสียเงินหรืออย่างไร ทักษิณ ชินวัตร ด่าไว้ การแจกเงินเป็นวิธีการของคนปัญญาอ่อน ดังนั้น จึงต้องมีคนกล้ารับผิดชอบ”
“จตุพร” ชี้ให้เห็นว่า เมื่อการแจกเงินดิจิทัลเต็มไปด้วยความสงสัย ป.ป.ช.จึงตั้งกรรมการมาศึกษาคู่ขนานกัน อีกอย่างประเทศใดในโลกนี้มีความสำเร็จกับวิธีการใช้เงินดิจิทัลบ้าง และไทยเอาหลักอะไรมาคิดที่จะทำให้ต่างชาติทึ่งในการพลิกเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้ภายใน 6 เดือน
“เพื่อไทยยังไม่มีการการันตีถ้าโครงการแจกเงินดิจิทัลเกิดความฉิบหายกับประเทศ ดังนั้น คนแจก คนคิด คนผลักดันมุ่งมั่นให้ทำต่อ คุณกล้ามั้ยเอาทรัพย์สินของพวกคุณมาค้ำประกันความฉิบหายของประเทศเมื่อเกิดความเสียหายก็ยึดไปเลย เทเดิมพันหมดหน้าตักกันแบบนี้เมื่ออยากทำก็ทำเลย จะกลัวอะไร กล้ามั้ย”
ส่วนฝ่ายรัฐบาลแสดงความเห็นจะมีการล้มรัฐบาลในกรณีดิจิทัลวอลเล็ต “จตุพร” กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ใครตั้งขึ้นมา ต้องระวังคนตั้งจะล้มเสียเอง เพราะเป็นเรื่องง่ายที่สามารถทำได้ ส่วนคนอื่นยากที่จะมาล้มรัฐบาลได้
“ผมจะบอกให้เอาบุญว่า คนที่จะล้มรัฐบาลชุดนี้ได้ ก็คือ คนตั้งรัฐบาลชุดนี้ จึงไม่ต้องคิดไปสงสัยใครเลย เพราะใครให้คุณเป็นรัฐบาลก็คนนั้นจึงจะล้มคุณได้ ไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น แค่ให้ระวังคนที่ตั้งรัฐบาลชุดนี้ให้ดี เพราะเป็นคนมีปัญญาล้มรัฐบาลได้ง่ายที่สุด”