เลขาธิการนายกฯ ย้ำ เดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไม่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย เทียบกับรัฐบาลก่อนกู้เงิน 1.5 ล้านล้าน แต่โครงการนี้ใช้แค่ 5.6 แสนล้าน สร้างเศรษฐกิจเจริญเติบโต ชี้ ภาวะเศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าประเทศอื่น
วันนี้ (10 ต.ค.) นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ว่า เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลหวังว่าจะให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะตอนนี้มีหลายประเทศที่ฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจเดินหน้าประเทศไทยไปแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังค่อยๆ ขยับอย่างช้าๆ การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีขึ้น เห็นได้จากการเงินการคลัง จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จากร้อยละ5 เหลือ ร้อยละ 0.3 นั่นคือ ความต้องการน้อยลงแต่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มไปถึง ร้อยละ 2.5 ดังนั้น ภาระต่างๆ จึงตกอยู่ที่ประชาชน เป็นหนี้สิน และต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ดังนั้น มาตรการที่สำคัญ จึงต้องมี เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์
ซึ่งโครงการนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่มาช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน แม้จะมีมาตรการลดราคาพลังงานไปแล้ว พร้อมยืนยันว่า กระทรวงการคลังได้ชี้แจงไปแล้วเมื่อวานนี้ ถือเป็นการแถลงครั้งใหญ่และชี้ให้เห็นว่า ภารกิจครั้งใหญ่ในการทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหาประชาชนจะแก้อย่างไรนั้น เป็นความท้าทายของรัฐบาลนี้ หรือจะให้อยู่เฉยๆ แล้วจนถาวร
ส่วนความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนเป้าหมาย ให้ใช้กับกลุ่มเปราะบาง นพ.พรหมินทร์ ย้ำว่า กว่าร้อยละ 90 ทุกคนเป็นหนี้ ดังนั้นจึงต้องให้ความเท่าเทียมกัน และขณะนี้ คนที่มีรายได้มาก เมื่อซื้อของก็ต้องมีการสมทบ และใช้จ่ายเพิ่ม ดังนั้น ความแตกต่าง ในแต่ละกลุ่มมี จึงต้องไปดูในรายละเอียด และยืนยันว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการจ่ายเงินดิจิทัลให้กลุ่มเด็กอายุ 16 ปีนำไปใช้ เนื่องจากหลักการสำคัญของการตั้งโครงการนี้ คือ การให้ประโยชน์กับทุกคน แต่มีการเตรียมพร้อมในเรื่องนี้ และดูการเปลี่ยนจัดการ รวมถึงดูข้อจำกัดด้านกฎหมาย และการบริหารการเงินว่าจะทำอย่างไร แต่ประวัติที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ทำให้ประเทศที่เป็นหนี้สิน ในยุคกู้เงินไอเอ็มเอฟ ที่เกือบล้มละลายไปแล้วกู้กลับคืนมาได้ และคืนหนี้ได้ก่อนถึง 2 ปี หรือแม้แต่โครงการกองทุนหมู่บ้าน ก็สามารถที่จะสร้างรายได้ และในยุคของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้บริหารงบประมาณอย่างสมดุล และรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญในเรื่องวินัยการเงินการคลัง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้ครอบคลุมทุกกลุ่มตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นสิทธิเท่ากันที่จะนำไปใช้ ส่วนคนที่ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร เพราะอยู่ที่สิทธิของแต่ละคนจะใช้หรือไม่ใช้
ส่วนกรณีที่นักวิชาการมองว่า โครงการนี้จะซ้ำรอยกับโครงการรับจำนำข้าวนั้น นพ.พรหมินทร์ ยืนยันว่า รัฐบาลที่ผ่านมา มีการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท แต่โครงการนี้ใช้ 560,000 ล้านบาท จึงเป็นการใช้เงินอย่างระมัดระวัง และเม็ดเงินที่ลงไปเป็นการทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต