“เศรษฐา” ปาฐกถา Next Chapter ประเทศไทย ชี้ สังคมโซเชียลมีเดียใช้คำพูดบาดหัวใจ ฟังแล้วสะอื้น แนะเห็นต่างคุยด้วยภาษาที่ยอมรับกันได้ไม่ขัดแย้ง ยอมรับต้องปรับปรุงตัวเองเป็นคนพูดห้วนสั้น อาจทำเกิดความขัดแย้ง ลั่นถ้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอยู่รอดยาก ปลุกต้องรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยกันพาประเทศเดินไปข้างหน้า
เมื่อเวลา 07.51 น. วันที่ 29 กันยายน ที่โรงแรมโรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงานเสวนา “ถอดรหัสลงทุน ก้าวข้ามวิกฤต” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ โดยนายกฯ กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน ปัญหาสังคม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ก็เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาการต่างประเทศก็เช่นกัน ซึ่งประเด็นที่จะพูดในวันนี้ก่อนเป็นประเด็นแรก คือปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสังคม เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลที่หมักหมมมายาวนาน ไม่อยากจะบอกว่าถูกปล่อยปะละเลย แต่เป็นปัญหาที่ยากและใหญ่มีหลายมิติทำให้การแก้ปัญหาได้ไม่ตรง จึงต้องเริ่มด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยได้มีการวางโรดแม็พไปแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหาของคนใดคนหนึ่ง
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงที่สุดประเทศหนึ่งคนรวยก็รวยมาก คนจนก็จนมากถ้าให้รัฐบาลออกมาตรการเป็นคำสั่งแก้ปัญหาคิดว่าแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะต้องแก้ปัญหาด้วยจิตใต้สำนึกของทุกคน จึงขอวิงวอนให้ทุกคนเข้าใจ และเชื่อว่า ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาค ความไม่เท่าเทียมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิเสรีภาพในการเลือกเพศสภาพ เลือกการประกอบอาชีพ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงขอให้ช่วยกันซัพพอร์ตแสดงความเห็นในเชิงบวก ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาหรืออาจนานกว่านั้น ในส่วนของตนเองขอบคุณในฐานะคนไทย เมื่อเรามีความเห็นต่าง มีความไม่พอใจในการกระทำของอีกฝ่าย แทนที่จะพูดจากันด้วยภาษาที่ทุกคนรับฟังกันได้อย่างสบายหูมีสีหน้าที่ดูแล้วมีมิตรภาพบนความเห็นต่างตนว่าเป็นการกระทำที่ดีกว่า แต่ปัจจุบันนี้การให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียเยอะคนพูดเยอะมีการใช้คำพูดที่บาดหัวใจฟังแล้วสะอื้นได้พอสมควรถึงแม้ว่าจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันเล็กน้อย แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวจริงๆแต่ผลกระทบในเชิงลึกมีมาก สังคมมีความแตกแยก มีการแบ่งพรรคพวกที่ชัดเจน เรามีวิธีการที่สื่อสารกันได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาไม่ได้เพิ่งเกิด 2-3 ปี แต่เกิดมานานแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่าการใช้ภาษารุนแรงนั้นชัดเจน แต่อาจจะมีวิธีอื่นแก้ปัญหา ตนอยากให้มองอีกมุมหนึ่ง ถ้าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแล้วหันเข้าหากัน
“ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนพูดห้วนสั้นแต่จากนี้ไปต้องพูดให้ยาวขึ้น ผมเป็นคนที่ชัดเจนมาตลอดหากรู้จัก ผมเป็นพูดน้อยได้ใจความ แต่มายืนอยู่ตรงนี้ตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่เราเองต้องมีการปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้ลดความขัดแย้งลงไปในการพูดจา ผมไม่ได้ต้องการว่าใครหรือตอบโต้ใครทั้งสิ้นการใช้คำว่าปฏิรูปสังคายนา และล้างบาง ขอยกตัวอย่างคำพูดเหล่านี้ ผมว่าทุกๆคนก็มีความภูมิใจในองค์กรของตัวเอง ทุกคนเข้าใจในความหวังดี ขององค์กรตัวเอง และทุกองค์กรมีทั้งคนดีและไม่ดี แต่เราใช้คำพูดที่รุนแรง วิธีการที่ก่อให้เกิดการแบ่งพรรคพวกที่ชัดเจน เป็นวิธีการที่แก้ไขปัญหาหรือเปล่า หรือการแก้ไขปัญหาอยู่ที่การกระทำ และการพูด การที่เอาสถาบันต่างๆ มาพูดในที่สว่าง มีคำพูดที่รุนแรง เชื่อว่าไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่การแก้ไขปัญหาคือพูดคุยกัน ในภาษาที่ทุกคนยอมรับได้ แต่ไปเน้นหนักที่การกระทำและกระบวนการแก้ไขปัญหาที่จะทำให้สังคมนั้นดีขึ้น เชื่อว่าไม่ต้องพูดเยอะในเรื่องนี้ แต่ทุกคนตระหนักดีอยู่แล้ว การกระทำตัวของทุกคนในสังคม มีส่วนช่วยให้สังคมลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดียอวดแสดงตนว่าเหนือท่าน หลายๆ เรื่อง หากลดลงไปได้บ้าง เชื่อว่า ทุกคนในที่นี้ อาจจะรวมถึงตนเอง ไม่สายเกินไปในการช่วยเยียวยาสังคมให้ดีขึ้น จากการกระทำของพวกเราทุกคน และถ้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็ยากจะอยู่รอด ผมพูดไปหลายวงแล้วไม่อยากเน้นเยอะ เดี๋ยวจะหามีอคติกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ผมไม่สบายใจจริงๆ กับเรื่องนี้ เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งที่เราจะนำประเทศเดินไปข้างหน้า ควบคู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนกำลังจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค.นี้ และไม่ลืมต้นน้ำที่ญี่ปุ่นเคยช่วยเหลือเรามาเป็น 10 ปี ส่วนกรณีบริษัทรถญี่ปุ่นกังวลเรื่องตลาดรถอีวี ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถญี่ปุ่น ซึ่งอาจทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวเดือดร้อนเราจะมีการพูดคุยกับสมาคมยานยนต์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถยนต์เครื่องสันดาปช่วงสุดท้ายก่อนช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลง.