เชื่อถือได้ 100%! “อดีตผู้พิพากษา” การันตี “พีระพันธุ์-วิทยา” มีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง ร่วมรัฐบาลเป็นทางเลือกดีที่สุด “หมอวรงค์” เรียกร้อง รทสช.ทบทวนจับมือเพื่อไทย ชี้ แก้ไข รธน.ทั้งฉบับ เข้าทาง “ก้าวไกล” ยิ่งกว่าแก้ 112
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (19 ส.ค. 66) นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ระบุว่า
“ผมรู้จักสนิทสนมกับ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาตั้งแต่ท่านยังรับราชการเป็นผู้พิพากษา เป็นเวลา 30 ปีเศษแล้ว เมื่อมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับบ้านเมือง ก็ติดต่อคุยปรึกษาหารือกันเสมอ ครั้งหลังสุดที่ปรึกษาหารือกันทั้งทางโทรศัพท์และไปรับประทานอาหารนั่งคุยกัน ก็คือ เรื่องคดีโฮปเวลล์ ซึ่งในที่สุดรัฐก็ไม่ต้องเสียเงินเกือบ 30,000 ล้านบาท
ส่วน คุณวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็รู้จักสนิทสนมมา 20 ปีเศษแล้ว คงจำกันได้ว่าเมื่อท่านดำรงตำแหน่ง รมต. กระทรวงสาธารณสุข สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการกล่าวหากันว่า โครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยังไม่ดำเนินการอะไรส่อไปในทางไม่สุจริต นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการสอบสวนๆ มีความเห็นว่า มีแนวโน้มว่าส่อไปในทางไม่สุจริต แม้ รมต.ไม่มีรู้เห็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย แต่ควรต้องรับผิดชอบ ท่านก็ลาออกจาก รมต. ซึ่งต่อมาการดำเนินการในโครงการดังกล่าวไม่ได้มีทุจริตหรือมีการดำเนินการไปในทางที่ไม่ชอบอะไรเลย
ผมขอยืนยันได้ว่า ทั้งสองท่านเข้ามาทำงานการเมือง เพราะมีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง มีความซื่อสัตย์สุจริตเชื่อถือได้ 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
เราต้องยอมรับความจริงกันว่า พรรคร่วมรัฐบาลของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มี ส.ส. ได้รับการเลือกตั้งมาเพียง 188 คน ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. คือ 500 คน จึงไม่อาจร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้
แม้ในการเลือกนายกรัฐมนตรีจะมี ส.ว.ช่วยลงคะแนนเสียงให้ แต่รัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ เพราะฝ่ายค้านต้องเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อลงมติก็ต้องแพ้ฝ่ายค้านอยู่แล้ว
ดังนั้น การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว เพราะดีกว่าปล่อยให้พรรคเพื่อไทยร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลอย่างแน่นอน
ผมเองเชื่อมั่นในตัวคุณพีระพันธุ์ และคุณวิทยา หน.กับรอง หน. พรรค รทสช. ว่า ท่านทั้งสองยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ในการทำงานการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนเป็นที่ตั้ง
จึงเห็นด้วยกับการที่พรรค รทสช. เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เพราะมีโอกาสทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมากกว่าการไม่เข้าร่วม
ทั้งโดยความคิดเห็นส่วนตัวค่อนข้างเชื่อว่า ท่านพีระพันธุ์ น่าจะได้ขอคำแนะนำปรึกษาหารือกับบุคคลที่ท่านพีระพันธุ์ใกล้ชิดและให้ความเคารพนับถืออย่างมากแล้วด้วย”
ขณะเดียวกัน พรรคไทยภักดี โดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคออกแถลงการณ์ ระบุว่า
“ดังปรากฏต่อสาธารณะดังคำชี้แจงของพรรครวมไทยสร้างชาติว่า จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยปราศจากเงื่อนไข และแนวทางดังกล่าวก็คงเป็นแนวทางเดียวกันกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่จะเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา นั้น
พรรคไทยภักดี ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมทบทวนจุดยืนดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพราะการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยปราศจากเงื่อนไข อาจเปิดช่องให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ทุกหมวด ทุกมาตรา โดย ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง ในสังคมไทยยิ่งกว่าการแก้กฎหมายมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้แถลงในวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ว่า
1. การแก้รัฐธรรมนูญเป็นวาระแห่งชาติ
2. การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วนจะนำเข้า ครม. ในการประชุม ครม. ครั้งแรก
3. การแก้รัฐธรรมนูญดำเนินการโดย ส.ส.ร.
4. การแก้รัฐธรรมนูญจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือก ส.ส.ร.
5. แก้รัฐธรรมนูญเสร็จ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนทันที
ขณะเดียวกัน “ไอลอร์” องค์กร NGO ที่รับเงินต่างชาติกับพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า ได้เริ่มเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภาเพื่อขอทำประชามติ แก้รัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% และแก้รัฐธรรมนูญทุกหมวด ทุกมาตรา
ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย กับการรณรงค์เพื่อแก้รัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกล และเครือข่าย NGO ที่มีต่างชาติหนุนหลัง แม้จะเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน แต่สามารถจะบรรจบกันและนำไปสู่เป้าหมายอันเป็นอันตรายได้ นั่นคือ การแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะนำไปสู่ความแตกแยกของสังคมมากกว่าการเสนอแก้กฎหมายมาตรา 112 และหากทำสำเร็จก็จะอ้างว่าเป็น “มติ” ของประชาชนต้องการให้เป็นเช่นนั้น
พรรคร่วมรัฐบาลเดิมทุกพรรคเคยประกาศจะปกป้องสถาบันหลักของชาติ ทั้ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่ร่วมงานกับพรรคที่จะแก้มาตรา 112 มาแล้วนั้น ย่อมมิอาจร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆได้ เพราะจะเป็นการร่วมสมยอมให้พรรคเพื่อไทยแก้รัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร. และเปิดช่องให้พรรคก้าวไกล สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้ทุกหมวด ทุกมาตรา นำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และแบ่งแยกประเทศไทย
แต่ต้องกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนว่า การแก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยต้องไม่แตะต้องหมวด 1 หมวด 2 โดยเด็ดขาด และควรเป็นการแก้ไขรายมาตราที่เห็นว่าเป็นปัญหา เพื่อไม่ให้กลุ่มการเมืองที่ไม่หวังดีและคิดเปลี่ยนแปลง ประกาศล้มล้างสถาบันหลักของชาติ สามารถใช้เป็นช่องทางในการเคลื่อนไหวใดๆ ของตนได้
โปรดพิจารณา ด้วยความรักต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ด้วยความเคารพ”