เมืองไทย 360 องศา
เห็นอาการล่าสุดของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว บอกได้คำเดียวว่า “น่าเป็นห่วงอย่างแรง” หลังจากไม่สามารถประชุมเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ซึ่งก็เกิดขึ้นจากความจงใจ หรือมีเจตนาทำให้ล่มนั่นเอง แน่นอนว่า มาจากความขัดแย้งภายในที่ยังไม่อาจประนีประนอมกันได้
กำหนดการประชุมพรรคเพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ล่าสุด ในวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการนัดประชุมครั้งที่สองแล้ว และก็เกิดเหตุแบบเดียวกับคราวที่แล้ว นั่นคือ “องค์ประชุมล่ม” ซึ่งหลายฝ่ายบอกตรงกันว่า เป็นเพราะความขัดแย้งภายในในเรื่องตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ และคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ที่ยังตกลงกันไม่ได้ โดยต่างฝ่ายต่างก็มีระดับ “ขาใหญ่” ที่เรียกว่าระดับผู้อาวุโสของพรรคต่างให้การหนุนหลังกันอยู่
ในปัจจุบันหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ล้วนเป็นรักษาการ หลังจากที่ พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้งยับเยินโดยได้ ส.ส.เพียง 25 ที่นั่ง ถือว่าน้อยเป็นประวัติการณ์ ทำให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคต้องสิ้นสภาพ เป็นรักษาการ อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า คณะกรรมการบริหารพรรคชุดเดิมที่ถือว่ายังมี “อิทธิพล” ไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ยังสามารถจับมือกับกลุ่มอื่นคิดจะส่งไม้ต่อให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่หลายฝ่ายมองว่าจะมีการสนับสนุน นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคดูแลภาคเหนือ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนเลขาธิการพรรคจะสนับสนุนให้ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคที่ดูแลภาคใต้ ขึ้นมา
ขณะที่อีกกลุ่มที่ถือว่าเป็นกลุ่ม “อาวุโส” ในพรรคที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคอยู่ในกลุ่มนี้ ตามข่าวบอกว่า ยังหนุนหลัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง อย่างไรก็ดี เมื่อวัดกำลังกันแล้วยังเชื่อว่า “กลุ่มของเฉลิมชัย” มีมากกว่า อาจทำให้กลุ่มหลังพ่ายแพ้ จึงต้องใช้วิธีให้ “องค์ประชุมล่ม” และเกิดขึ้นต่อเนื่องกันถึงสองครั้งแล้ว
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงภายหลังเกิดเหตุการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ว่า เป็นพฤติกรรมเลวร้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำประกาศอุดมการณ์ของพรรค ข้อที่ 1 พรรคจะดำเนินการโดยวิถีทางอันบริสุทธิ์ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายให้กับพรรคอย่างมาก การที่องค์ประชุมไม่ครบทั้ง 2 ครั้งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดโดยธรรมชาติ แต่เกิดจากพฤติกรรมของกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งตนขอโทษสมาชิกพรรคด้วย มีการให้องค์ประชุมออกจากห้องประชุม ไม่ให้ลงชื่อเป็นองค์ประชุม มีการให้องค์ประชุมไปเที่ยวประเทศลาว เพื่อไม่ให้มาประชุม ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เลวทราม ไม่น่าเกิดขึ้นในพรรคที่เป็นสถาบันทางการเมือง
“เชื่อว่า กลุ่มคนดังกล่าวรู้ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ขอให้มีจิตสำนึก เชื่อว่า ถ้าจิตสำนึกกลับคืนมา พรรคจะเดินหน้าได้ พรรคมีระเบียบ มีข้อบังคับ ไม่สามารถทำอะไรโดยลำพัง ทำอะไรโดยมีความคิดส่วนตัวได้ ประชาธิปัตย์มีกฎ ข้อบังคับ แต่ทุกวันนี้หลายคนฉีกกฎข้อบังคับเอง ซึ่งจะทำให้ประชาธิปัตย์เสื่อมถอย สมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมส่วนนี้ วันนี้ผมขอประณาม ถ้ามีจิตสำนึกที่เพียงพอขอให้กลับมาช่วยทำให้พรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าต่อไปได้ ไม่ใช่เล่นเกมการเมืองเพื่อหวังตอบสนองความต้องการของใครบางคน” นายเฉลิมชัย ระบุ
นายเฉลิมชัย ย้ำว่า พร้อมจะวางมือทางการเมือง และเคยยื่นข้อเสนอไปว่าถ้าตนเป็นอุปสรรคต่อพรรค ขอให้ที่ประชุมดำเนินการตามข้อบังคับพรรค ทั้งนี้ใครที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ขอความกรุณาไม่ต้องแสดงความคิดเห็น และทราบหรือไม่ว่าการประชุมใหญ่พรรคในแต่ละครั้ง ใช้งบประมาณ 3-4 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ประชาชนตั้งใจให้พรรคมาทำกิจกรรมทางการเมือง ไม่ใช่นำเงินมาผลาญเล่นกันเช่นนี้ วันนี้ขอเป็นครั้งสุดท้าย และให้ทุกคนตรึกตรองดูว่าพฤติกรรมที่ผ่านมา ถูกต้องหรือไม่
ถามว่า ขณะที่แถลงข่าวอยู่นี้ มี ส.ส.มาร่วมแถลงด้วยกี่คน นายเฉลิมชัย กล่าวว่า “ต่ำๆ มี 21 คน ฝากบอกกับสื่อด้วยว่า คนที่คิดว่าพรรคจะต้องเดินตามแนวทางนี้ มีไม่ต่ำกว่า 21 คน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายของการแถลงข่าวนายเฉลิมชัย พร้อมด้วย ส.ส. ได้ยืนให้สื่อมวลชนถ่ายรูป เพื่อแสดงตัวว่า ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมที่ทำให้องค์ประชุมล่ม
ขณะที่ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ว่า ส่วนตัวมองว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค มีความเหมาะสมในสถานการณ์นี้ และตนจะเป็นผู้เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ ขึ้นมาอีกครั้ง
นายสาธิต ยังกล่าวยืนยันว่า แม้ นายอภิสิทธิ์ จะได้รับการโหวตเป็นหัวหน้าพรรคในวันเดียวกันนี้หรือไม่ กลุ่มของตนก็มีจุดยืนว่า จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ขอทำพื้นที่ตัวเองให้ดี และเสนอตัวใหม่อีกครั้งในโอกาสถัดไป เขายังเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ เหมาะสมเป็นหัวหน้าพรรคในสถานการณ์นี้ และเชื่อว่า จะนำพาพรรคกลับไปสู่ที่เดิมได้ ส่วนจะเป็นสถานการณ์ไหน ทั้งตนและนายอภิสิทธิ์ ก็ขอยืนยันจุดเดิมว่า จะไม่ร่วมกับรัฐบาลที่ยุ่งเหยิง
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม อยากเรียกร้องให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ คิดถึง และรักพรรคให้มาก การทำลายองค์ประชุม และการไม่มาร่วมประชุม ทั้งที่เป็นหน้าที่แต่ไม่มา และทำให้องค์ประชุมไม่ครบ ทำให้การประชุมล่ม สังคมมองว่าพวกเรามีปัญหากัน คิดว่าจะทำให้พรรคแย่ลงไป จึงอยากเรียกร้องให้มาใช้สิทธิ และทำหน้าที่ของตัวเอง ท่านรักใครชอบใคร สนับสนุุนใคร เป็นสิทธิ หน้าที่ ของท่าน การจัดประชุมใหญ่ไม่ใช่จัดกันง่ายๆ ทุกครั้งมีค่าใช้จ่ายในการจัด เพื่อให้สมาชิกมาประชุมร่วมกันให้ครบ
“ผมอยากให้คิดถึงพรรค ไม่ว่าจะเป็นคนเก่าหรือคนใหม่ คิดถึงพรรคให้มากกว่าตัวบุคคล ว่า สิ่งที่ทำกันอยู่ตอนนี้ ท่านคิดว่าท่านชนะ คนชนะคือใคร คนแพ้คือใคร พรรคประชาธิปัตย์ที่แพ้ วันนี้แพ้ภัยตัวเองเพราะเราขาดความสามัคคี หวงพรรคไม่ยอมส่งไม้ต่อให้คนรุ่นถัดไป แล้วเราจะตามพรรคอื่นได้อย่างไร เขาไปถึงไหนแล้ว พรรคอื่นเช้าลาออกบ่ายได้หัวหน้าพรรคแล้ว ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ 2 ครั้งแล้ว ยังไม่ได้หัวหน้าพรรคเลย แล้วประชาชนจะฝากความหวังกับพรรคประชาธิปัตย์ ได้อย่างไร ยืนยันว่าผมรักพรรค วันนี้เรายังไม่ได้หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคเลย แล้วพรรคจะเดินต่อกันได้อย่างไร ส่วนการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วม คนละเรื่องกัน” นายนราพัฒน์ กล่าว
นั่นคือ การเคลื่อนไหวและบรรยากาศภายในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในที่สุดการประชุมใหญ่ก็ล่มอีกครั้ง ยังไม่อาจเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ได้ และยังไม่รู้ว่าการประชุมใหญ่ครั้งต่อไป จะมีขึ้นอีกเมื่อไหร่ เพราะจนถึงเวลานี้ ยังไม่สามารถกำหนดวันประชุมได้ แต่ภาพที่ออกมาได้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง แบบไม่มีใครยอมใคร รวมไปถึงระดับ “ผู้อาวุโส” ในพรรค นาทีนี้ก็ถือว่าเอาไม่อยู่
ภาพที่เกิดขึ้นยังสะท้อนภาพจำที่ย้ำว่า “นี่คือประชาธิปัตย์” ที่นาทีนี้ดูแล้วเหมือนกับว่า ไม่ว่าจะมีหัวหน้าพรรคคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใคร เช่น ไม่ว่าจะเป็น นายนราพัฒน์ แก้วทอง จริงหรือไม่ รวมไปถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตามข่าวบอกว่าจะกลับมาอีกครั้ง มันก็คงไม่มีความหมาย คงไม่ถึงกับจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับพรรคมากนัก เพราะเชื่อว่าสำหรับสังคมภายนอก น่าจะรู้สึก “เฉยๆ” ไม่น่าจะส่งผลในทางบวกมากนัก
ดังนั้น หากพิจารณาจากปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวภายในพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ โดยเฉพาะในภาพของความขัดแย้งภายใน เชื่อว่า ย่อมมีผลกระทบในทางลบกับพรรคอย่างหนักต่อไป โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งที่จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ในวันข้างหน้า หากยังเป็นรายชื่อตามที่เป็นข่าว มันก็คงไม่น่ามีผลอะไรมากนัก และที่สำคัญยังเชื่อว่า ความขัดแย้งภายใน จะต้องมีอยู่อย่างหนักหน่วงต่อไป จนมีความเป็นไปได้สูงว่า “น่าจะฟื้นกลับมายาก” แล้ว!!