หาก ผู้บริหารแสนสิริ มีพฤติกรรมไซฟ่อนเงินอย่างที่ถูกกล่าวหาจริง แสนสิริ ก็ไม่น่าจะกำไรเติบโตขึ้นทุกปี ยึดหัวตารางเรียลเอสเตทไทยแบบเจ้าอื่นได้แต่ค้อนตาเขียวอย่างที่เป็นอยู่
ออกแนวสะเปะสะปะ ปฏิบัติการ “แฉเพื่อชาติ” ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง ที่ประกาศพุ่งเป้ามุ่งทำลาย เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย
หลังเล่นใหญ่สร้างเรื่องกรณี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซื้อที่ดินย่านสารสิน ที่สร้างประวัติการณ์เป็นที่ดินที่ราคาแพงที่สุดในประเทศไทยมาถึงปัจจุบัน ขณะ เศรษฐา เป็นผู้บริหารแสนสิริ ว่ามีลับลมคมในนิติกรรมอำพรางเพื่อ “เลี่ยงภาษี”
ปรากฎหลักฐาน “เบาหวิว” จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย และยังเจอย้อนศรซื้อขายที่ดินของครอบครัวกมลวิศิษฏ์ มีพิรุธกว่า แถมเลี่ยงภาษีมากกว่าเป็นเท่าตัว ทำเอา “ชูวิทย์” ต้องเก็บตัวเงียบไปหลายวัน
กระทั่งมาเปิดปฏิบัติการรอบใหม่กรณีที่ดินทองหล่อ ที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียม KHUN by YOO ในปัจจุบัน ก็ทำให้กองเชียร์ผิดหวังซ้ำสอง โดยเฉพาะคนในวงการเรียลเอสเตทที่ฟังแค่เปิดหัวก็รู้แล้วว่า ไม่มีอะไร
งานนี้ ชูวิทย์ กล่าวหาร้ายแรงว่า แสนสิริ ปล่อยกู้ให้บริษัทนอมินี 1 พันล้านบาท เพื่อไปซื้อที่ดินในราคา 535 ล้านบาท ก่อนโอนที่ดินให้ แสนสิริ ปิดเงินกู้ 1 พันล้านบาท แล้วกิน “ส่วนต่าง” เข้ากระเป๋า ถึง 465 ล้านบาท
ทว่า หลักฐานที่ ชูวิทย์ นำมาประกอบนั้นกลับเป็นคนละเรื่อง เพราะเป็น “ใบจำนองที่ดิน” มูลค่า 1 พันล้านบาท ที่ บริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด บริษัทลูกของแสนสิริ ในฐานะ “ผู้ซื้อ” ทำขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันให้ บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ในฐานะ “ผู้ขาย” ปฏิบัติตามสัญญาก่อนจะมีการโอนมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินกันเท่านั้น
ตามข้อความที่ระบุในใบจำนองว่า “ผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินแปลงที่กล่าวข้างบนนี้ทั้งแปลงเพื่อเป็นประกัน การปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 11 กุมภาพันธุ์ 2558“
แล้วยังมีการตราหน้าว่า แสนสิริ แต่ง “บริษัทนอมินี” เข้าไปซื้อหุ้น บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ทั้งที่ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กัน โดย “ตัวละคร” ที่ ชูวิทย์ “อุปโลกน์” ขึ้นมาก็ปฏิเสธแล้วว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ และไม่ได้รู้จัก แสนสิริ ด้วย
ทั้งยังฟ้องสังคมด้วยว่า ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาถูก “คุกคาม” โดยมีคนไปถ่ายภาพบ้านพักใน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม โดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนภาพจะมาปรากฎในการแถลงข่าวของ ชูวิทย์
มองได้ว่า หากมีนอมินีไปถือหุ้น บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด เจ้าของที่ดินจริง ก็ไม่น่ามีความจำเป็นที่ แสนสิริ โดยบริษัทลูก ต้องทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักประกันให้วุ่นวาย เพราะที่สุดก็ซื้อที่ดินในราคาราว 1 พันล้านตามที่ตกลงกันอยู่แล้ว
ไม่เท่านั้น ชูวิทย์ ยัง “คิดเอง เออเอง” กล่าวหาด้วยว่า ราคาที่ แสนสิริ ซื้อที่ดินบริเวณซอยทองหล่อ 12 เมื่อปี 2559 ในราคา 1.1 ล้านบาทต่อตารางวานั้น “สูงเกินจริง” ควรซื้อแค่ตารางวาละ 6.5 แสนบาทเท่านั้น
แม้เวลาผ่านมาหลายปี แต่ก็พอค้นฐานข้อมูลวงการอสังหาริมทรัพย์ถึงราคาตลาดย้อนหลังได้ ปรากฎว่า ปี 2560 มีการซื้อขายที่ดินทองหล่อ 10 ในราคา 1.3 ล้านบาทต่อตารางวา, ปี 2561 ที่ดินทองหล่อ 14 ถูกซื้อในราคา 1.7 ล้านบาทต่อตารางวา และปี 2562 ที่ดินทองหล่อ 4 ขายในราคา 1.8 ล้านบาทต่อตารางวา
เป็นตัวอย่าง 2-3 แปลงในละแวก และห้วงเวลาเดียวกันที่ล้วนแล้วแต่แพงกว่าราคาที่ แสนสิริ ซื้อที่ดินทองหล่อ 12
ต้องไม่ลืมว่า เจ้าของที่ดินทองหล่อ 12 ถือกรรมสิทธิ์มาต้ังแต่ปี 2551 คงไม่สามารถขายในราคาตารางวาละ 6.5 แสนบาท ที่คาดว่าจะเป็นราคาซื้อในปี 2551 ตามที่ ชูวิทย์ จับแพะชนแกะได้
ดังนั้นเมื่อราคาที่ดินทองหล่อ 12 เมื่อปี 2559 ตกตารางวาละ 1.1 ล้านบาท เป็นราคาที่เหมาะสมหากเทียบกับราคาตลาด ทำให้ราคารวมของที่ดินทั้งหมดอยู่ที่ราว 957 ล้านบาท ข้อกล่าวหาที่ว่า “ไซฟ่อนเงิน” เข้ากระเป๋าผู้บริหาร แสนสิริ จึงตกไป
และหาก ผู้บริหารแสนสิริ มีพฤติกรรมไซฟ่อนเงินอย่างที่ถูกกล่าวหาจริง แสนสิริ ก็ไม่น่าจะกำไรเติบโตขึ้นทุกปี ยึดหัวตารางเรียลเอสเตทไทยแบบเจ้าอื่นได้แต่ค้อนตาเขียวอย่างที่เป็นอยู่
ทำไปทำมา “จอมแฉ” อย่าง ชูวิทย์ ที่พร่ำบอกว่า ตัวเองมีเวลาอยู่บนโลกนี้อีกไม่นาน กลับจะเอาชื่อมาทิ้งในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต
ว่ากันว่า ชูวิทย์ ได้ข้อมูลจาก “ไอ้โม่ง” ที่อ้างว่า รู้เส้นสนกลในการทำธุรกรรมของ แสนสิริ แบบละเอียดยิบ เลยหวังใจว่าจะมีเรื่องมาขย่ม เศรษฐา อีกเฮือก สางแค้นที่ไม่ยอมซื้อที่ดิน 2 พันล้านของตัวเอง
และเผื่อ แสนสิริ บ้าจี้ วิ่งมาขอเคลียร์ด้วย ตามสไตล์ “แฉไป ไถไป” เผื่อได้ “ค่าขนม” ติดปลายนวมทิ้งทวนให้ลูกๆ บ้าง
ปรากฎเคาะชามข้าวไม่สำเร็จ แสนสิริ ยืนยันการทำธุรกรรมต่างๆ ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ก็เลยไม่มีอะไรต้องไปเคลียร์กับ ชูวิทย์
แถมเตรียมส่ง “ครุฑบิน” ดำเนินคดีฐานบิดเบือนข้อมูลทำให้บริษัทเสียหายด้วย
สมนาคุณลูกมั่วเที่ยวสุดท้ายของ “จอมแฉชูวิทย์” ที่เหลือแต่ชื่อ เครดิตความน่าเชื่อถือพังทลายไปนานแล้ว
ทุกครั้งที่แถลงข่าว ก็มักขู่ว่าจะลากไส้คนอื่น กลับกลายเป็นลากไส้ตัวเองออกมาประจานตัวเองซะอย่างนั้น.