ข่าวปนคน คนปนข่าว
**"ชูวิทย์"กลัวความจริง ไล่คุกคามนักข่าวผู้จัดการกลางเวทีละครลิง งานนี้ตอกฝาโลงโจรกระจอก แฉไปไถไป
หนากว่ากระเบื้องก็คงจะเป็นหน้าของ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" นี่แหละ
เปิดแสดงละครลิงครั้งล่าสุด จั่วหัวเอาไว้เรียกแขกที่ตอนหลังไม่ค่อยได้ผลว่าเป็นวาระ "แฉเพื่อชาติ ครั้งสำคัญ"
นอกจากจะมโน และลุยถั่วมั่วข้อมูล บิดเบือนกล่าวหาโจมตีผู้อื่น ยังแสดงธาตุแท้ที่กลัว "ความจริงเพียงหนึ่งเดียว" จนลนลานเก็บอาการไม่อยู่
เป้าหมาย คือโจมตี "เศรษฐา ทวีสิน" และบริษัทแสนสิริ เหมือนเดิม พร้อมกับฉวยโอกาสแคนนอน แซะ "สนธิ ลิ้มทองกุล"
เห็นว่า เตรียม "พร๊อบ" ประกอบฉากการแสดง แล้วเรียกหา "นักข่าวผู้จัดการ" เป็นระยะ กะจะโชว์พาว ด้อยค่าซึ่งหน้า แต่กลับกลายเป็นการประจานตัวเองว่า เป็นคนประเภท "ปากกล้า ขาสั่น"
เมื่อนักข่าวผู้จัดการแสดงตน ก็กล่าววาจาดูแคลนว่าเป็นแค่ "ไอ้ลูกกะจ๊อก" ถามหา "สนธิ" ทำไม่ไม่มาเอง ส่งลูกกระจ๊อก มาทำไม พร้อมแสดงท่าทีเหยียดหยาม คุกคามตามนิสัย
เมื่อนักข่าวผู้จัดการโต้ตอบ และอธิบายยืนยันการมาทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ที่จะซักถามหาความจริง ก็เฉไฉบ่ายเบี่ยง จนเกิดการปะทะคารมกลางเวทีละครลิง
เปิดแลกกันคนละหมัด เจอสวนกลับด้วยการพยายามทำหน้าที่สื่อของสื่อผู้จัดการ “ชูวิทย์” ถึงกับไปไม่เป็น สุดท้ายก็ไล่คุกคามนักข่าวออกจากเวที ว่า"ไสหัวไป" แทนจะเปิดโอกาสให้นักข่าวได้ถาม
ต้องเข้าใจว่า “ชูวิทย์” ถนัดแสดงละครลิงข้างเดียว จะโกหกพกลมถ่อย สถุล อย่างไรก็ได้ ไม่มีใครซัก ไม่มีใครถามจึงย่ามใจ
ตลอดที่ผ่านมาเรียกตัวเองเป็นนักแฉ พอถูกแฉบ้างว่า “แฉไปไถไป” ก็กลบเกลื่อนเป็นมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก
ทั้งเรื่องทุนจีนสีเทา บ่อนพนันออนไลน์ รถไฟฟ้าสีส้ม มาจนถึงปั่นเรื่องเศรษฐา เลี่ยงภาษี-แสนสิริ ซื้อที่ดิน
"ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว"' ถูกจับโป๊ะได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่า รับเงิน ,รับงาน และ แบล็กเมล์ จนเคยตัว
กรณี “เศรษฐา” หลักฐานชี้ชัด “ชูวิทย์” ต้องการขายที่ดินตัวเอง พอไม่ได้ก็เอาเรื่องเขามาปั่น ข่มขู่ บีบให้เขาซื้อที่ดินตัวเองให้ได้
ชาวบ้านชาวช่องเขารู้กันทั้งบาง ที่ว่าแฉเพื่อชาติ ที่แท้ก็เป็นเรื่องของแฉไปไถไป แบบหน้าด้านๆ
นี่ยังไม่ต้องพูดถึง ปืนลั่นใส่ตีนตัวเอง แฉเขา แต่อิเหนาทำเอง บริษัทของชูวิทย์ ซื้อขายถ่ายโอนที่ดินในวันเดียวแบบน่าสงสัยในนิติอำพราง ทำรัฐเสียรายได้ไป 900 กว่าล้าน
โดยที่ “ชูวิทย์” เงียบกริบไม่พูด “สรยุทธ ทัศนะจินดา” โฆษกประจำตัว ก็ไม่กล้าตามประเด็น
แน่นอนว่า นักข่าวผู้จัดการ เตรียมคำถามเหล่านี้ถาม “ชูวิทย์”ให้ตอบ แต่คงกลัวความจริงจะถูกเปิดโปงจนต้องแสดงอาการบ้าบอขึ้นมาดังกล่าว
ไม่ต้องประหลาดใจอะไรกับชูวิทย์ ที่เรียกตัวเองว่า “มหาโจร” แท้ที่จริงแล้ว ก็โจรกระจอก ดีๆนี่เอง
งานนี้ตอกฝาโลงกันได้เลย!
ถ้าเป็นของจริง ก็ต้องไม่กลัวการถูกถาม ไม่จำเป็นต้องเป็นนักข่าวผู้จัดการก็ได้ สื่อมวลชนสำนักไหน ก็มีสิทธิ์จะซักถาม
“ชูวิทย์” บอกว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มาก ก็จะลาจากโลกนี้ไป
ตลอดชีวิตบอกว่า 20 ปีที่อยู่ในแสงมาตลอด กำลังจะรูดม่านลงแล้ว
ไหนๆ ก็ไหนๆ ที่ผ่านมา รับงาน แล้วมาโกหกพกลม แสดงละครลิงให้สังคมป่วนปั่นมา ก็มาก ก่อนจะจากโลกนี้ไปน่าจะรับ "ความจริง" เสียบ้างเถอะ
เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว จะได้นอนตายตาหลับ...คิดสิคิดชูวิทย์!!
** "อุ๊งอิ๊ง" บินไปดูไบ บอกพาพ่อไปหาหมอตา คาดงานนี้มีติวเข้ม เรื่องตั้งรัฐบาล
วันก่อน "อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์สตอรีอินสตาแกรม ว่า ได้เดินทางไปพบ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพ่อ โดยลงภาพคู่กัน มีข้อความระบุว่า “พาคุณพ่อมาหาหมอตาค่ะ” พร้อมระบุสถานที่คือ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
พร้อมกันนี้ “อุ๊งอิ๊ง” ยังได้ลงคลิปวิดีโอเรื่องราวของ “ทักษิณและคนในครอบครัว” ตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งจบคลิปเป็นภาพที่ ทักษิณกลับเมืองไทย และก้มกราบแผ่นดินเมื่อปี 2551
คอการเมืองเมื่อเห็นโพสต์นี้ ย่อมคาดการณ์ได้ว่า นี่ไม่ใช่เพียงการพาพ่อไปหาหมอตา แต่ต้องมีการติวเข้ม ประกอบการตัดสินใจทางการเมือง ที่กำลัง “เข้าด้าย เข้าเข็ม” ซึ่งครั้งนี้พรรคเพื่อไทย ต้องเป็นรัฐบาลให้ได้ เนื่องจากว่างเว้นมาประมาณ 10 ปีแล้ว
...ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ดีลการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น ดูคล้ายว่าจะเรียบร้อยดี หลังจากที่ได้แถลงข่าวว่า มีพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว 9 พรรค รวมเสียงได้ 238 เสียง แคนดิเดตนายกฯ ที่จะขอความเห็นชอบต่อรัฐสภา คือ“เศรษฐา ทวีสิน”
เห็นชัดว่า ถ้ามีแค่ 9 พรรค ก็ยังขาดทั้งเสียงส.ส. และส.ว. ที่จะหนุนส่งให้ภารกิจการจัดตั้งรัฐบาลผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
พรรคที่จะมาเติม เพื่อให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เพื่อไทย ยังไม่ยอมประกาศ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าคงหนีไม่พ้น “พรรคสองลุง” คือ พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง และพรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง เพราะถ้ามีสองพรรคนี้ ก็จะเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงเสียง ส.ว.มาช่วยโหวตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเสียงขั้นต่ำ 376 เสียงด้วย
แต่สัญญาณความ “ไม่ราบรื่น” ก็มีกระเพื่อมให้เห็น จากกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย ประกาศหลักการ ไม่เห็นด้วยที่จะให้ พรรคเก่า กลับมาบริหารกระทรวงเดิม แถมยังขอโหวตนายกฯ ให้ผ่านเรียบร้อยก่อน ค่อยมา “แบ่งเค้ก” ว่าพรรคไหน จะได้ดูแลกระทรวงใด
แน่นอนว่าในบรรดาพรรคร่วมฯ ไม่มีพรรคไหนยอม “ตีเช็คเปล่า” ให้กับพรรคเพื่อไทยแน่ และยังให้สัมภาษณ์ว่า การที่พรรคเก่าเข้ามาดูแลกระทรวงเดิมนั้น เป็นเรื่องที่ดี งานจะได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องมาเสียเวลาศึกษางานใหม่
กับปัญหาเหล่านี้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองหัวหน้าเพรรคเพื่อไทยต้องออกมาดับแรงกระเพื่อม ว่า ทุกอย่างคุยกันได้ด้วยเหตุ ด้วยผล เรื่องแบ่งกระทรวงฯ คงชัดเจนในเวลาใกล้เคียงกับการโหวตนายกฯ และมั่นใจ “เศรษฐา” ไม่ติดเงื่อนไขเรื่องจริยธรรม ที่มีการวิพากวิจารณ์กัน
ล่าสุดในการประชุมส.ส.พรรคภูมิใจไทย วานนี้ (15 ส.ค.) “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ทักทายผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดี เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ระบุวันที่จะนัดพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเพื่อแบ่งโควตารัฐมนตรีแล้วหรือยัง ก็ได้รับคำตอบว่า “ยังไม่ได้นัดเลย” เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทย ได้โควตารัฐมนตรี กี่ที่นั่ง “อนุทิน”บอกว่า “โควตาน่าจะได้ 4+4”
นั่นหมายถึง รัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 4 เก้าอี้ ส่วนจะเป็นกระทรวงใดนั้น ตามมารยาท ต้องขออุบไว้ก่อน !!
เช่นเดียวกับ “อัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์” ส.ส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็บอกว่าทางพรรคได้รับสัญญาณบวก จากเพื่อไทย จากคณะผู้แทนที่ไปพูดคุยว่าเพื่อไทยพร้อมที่จะเชิญ รวมไทยสร้างชาติร่วมรัฐบาล ซึ่งทางพรรคเรา ก็พร้อมที่จะพูดคุย เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ เพียงแต่ว่าการเชิญจะต้องประกาศเป็นทางการ ส่วนการนัดวันที่จะพูดคุยนั้น ต้องรอการติดต่อจากพรรคเพื่อไทย
ส่วนใครที่บอกว่าให้โหวตนายกฯ เสร็จก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยนั้น “อัครเดช” บอกว่า “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พูดในที่ประชุมชัดเจนว่า จะต้องพูดคุยอย่างเป็นทางการก่อนที่จะมีการโหวตนายกฯ ซึ่งการพบกันคงจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ...สำหรับโควตารัฐมนตรีนั้นเป็นไปตามสูตรคณิตศาสตร์ทางการเมือง คือหารกันแล้ว รวมไทยสร้างชาติ จะได้ 4 เก้าอี้
ดังนั้นการที่ “อุ๊งอิ๊ง” บินไปดูไบ รอบนี้จึงไม่ใช่แค่พาพ่อไปหาหมอตาเท่านั้น แต่ไปรับการติวเข้มใน ลูกเล่น ลีการ การเจรจาทั้งเชิงรุก เชิงรับ เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ให้ลุล่วงให้ได้ เพราะไม่เพียงได้ครองอำนาจการบริหารประเทศเท่านั้น ยังมีผลโดยตรงต่อการ “ได้กลับบ้าน” ของทักษิณ อีกด้วย