“สนธิ” วิเคราะห์สูตรจัดตั้งรัฐบาล ด้วยหลักคณิตศาสตร์ ตามตัวเลข สส.ที่แต่ละพรรคมีอยู่ โดยเพื่อไทยเป็นตัวยืน ร่วมกับภูมิใจไทยที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว อาจต้องดึงพรรคลุงเข้าร่วม เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนจาก สว. โดย รทสช.จะเป็นไปได้มากกว่าเพราะลุงตู่ไม่อยู่แล้ว รวมกับ ปชป.ถ้ามาทั้งหมดรวมแล้วจะได้ 295 เสียง แต่อาจจะมีตกลงกันลับหลังที่คนทั่วไปไม่รู้ การเลื่อนโหวตนายกฯ น่าจะเป็นเพราะยังแบ่งโควตา รมต.ไม่ลงตัว รวมทั้ง“ทักษิณ”เลื่อนกลับไทย เพราะยังไม่ชัวร์ว่าใครจะได้เป็นนายกฯ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้วิเคราะห์สูตรการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นไปได้ในขณะนี้ ว่า ต้องดูตามหลักคณิตศาสตร์ อย่าไปดูว่าใครชอบใคร หรือไม่ชอบใคร เพราะคณิตศาสตร์จะบอกได้ชัดเจนว่าเป็นไปได้แค่ไหน เพราะว่าการเมืองบวก/ลบตัวเลขแบบเบสิกที่สุด แต่ความยากของการบวก/ลบ คือการเจรจาจัดสรรอำนาจให้ลงตัวที่สุด
นายสนธิ กล่าวว่า ตามแผนภาพจากแถวบนลงมาสู่แถวล่าง แถวบนมีเบ็ดเสร็จ 234 เสียง ประกอบด้วย เพื่อไทย 141 ภูมิใจไทย 71 ประชาชาติ 9 ชาติไทยพัฒนา 10 ชาติพัฒนากล้า 2 และ เสรีรวมไทย 1
แถวที่สอง คือฝ่ายค้านแน่นอน 158 เสียง มีก้าวไกล 151 ไทยสร้างไทย 6 พรรคเป็นธรรม 1
แถวที่สาม มีแค่ 3 พรรค แต่เป็น 3 พรรคที่เป็นตัวแปร ประกอบด้วย พลังประชารัฐ 40 รวมไทยสร้างชาติ 36 ประชาธิปัตย์ 25
ส่วนแถวสุดท้าย แทบจะไม่มีความหมาย มี 7 เสียง ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็ได้ เป็นพรรคละ 1 เสียง เพราะว่าเป็นพรรคซึ่งตั้งใหม่
ถ้าแถวแรก เพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ต้องการเพิ่มจาก 234 เสียง ให้เป็น 251 เสียง ก็คือเกินครึ่ง แปลว่าตัวแปรที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ เหลือตัวเลือกในแถวที่สามพรรคใดพรรคหนึ่ง ที่มีพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์
พรรคใดพรรคหนึ่ง คือ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ เอามารวมแล้วจะต้องเกิน 251 เสียง โดยสูตรนี้ถ้าจับเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ 25+234 ก็จะได้ 259 เสียง ซึ่งจะต้องมีเสียง ส.ว. เข้ามาช่วยอีก 118 เสียง ถึงจะครบ 375 เสียง แต่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะ ส.ว.จะมาจากสายของพรรคพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องเลือกขั้นต่ำสุดจากพรรคของ 2 ลุง เพื่อหวังเสียง ส.ว. เพิ่ม เพราะว่าถ้ารวมเสียงมามากไปก็จะจัดสรรโควตารัฐมนตรีที่มีจำกัดได้อย่างลำบากมาก และถ้าหวังเสียง ส.ว. ข้างมากใน ส.ว. ด้วยกัน พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้เปรียบกว่าพรรคพลังประชารัฐ
นี่คือเหตุผลจริงๆ แล้วว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องวางมือทางการเมือง เพราะทำให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสหยิบพรรครวมไทยสร้างชาติเข้ามาถ่วงดุลอำนาจ เพราะตอนแรกถ้าลุงตู่อยู่ ไม่มีโอกาสที่รวมไทยสร้างชาติจะร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้
แต่ถ้าหยิบพรรคพลังประชารัฐมาร่วม ก็หนักหน่อย เพราะ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้วางมือ ยังอยู่ แต่ตอนนี้คนที่เป็นกุญแจสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ กลับกลายเป็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ไม่ใช่ พล.อ.ประวิตร และไม่ใช่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แล้ว
สุดท้าย เบื้องต้นที่น่าจะออกมาที่แถวแรก 234 ที่นั่ง รวมกับแถวที่สาม รวมไทยสร้างชาติ 36 ที่นั่ง และประชาธิปัตย์ 25 ที่นั่ง รวม 295 เสียง
คำถามมีว่า ไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ จะทำงานร่วมกันได้หรือเปล่า
มีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงคือ ประชาธิปัตย์ มาหรือไม่มาร่วมรัฐบาล หรือมาครบ 25 เสียง หรือมาแค่บางส่วน คือส่วนของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีความแน่นอนที่จะได้ถึง 25 เสียง เป็นเอกภาพ กระแสต้านลุงก็ยังแรงอยู่
การแถลงผลการประชุมระหว่างเพื่อไทย กับก้าวไกล เมื่อวันพุธที่ 2 สิงหาคม ไม่เหมือนกัน โดยเพื่อไทยแถลงข่าวบอกว่า หวังว่าพรรคก้าวไกลจะโหวตให้ จะได้ไม่ต้องพึ่งลุง ก็โยนบาปให้ทางพรรคก้าวไกล ส่วนพรรคก้าวไกลแถลงข่าววันเดียวกัน บอกว่า เพื่อไทยไม่เคยขอให้ก้าวไกลโหวตให้ เพราะกลัวว่า ส.ว. จะระแวง โยนให้เพื่อไทยกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของประชาชน
ปัจจัยเรื่อง "ฮ่องกงดีล" ระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกันไว้ จนวันนี้ไม่มีใครรู้ ทั้งสองฝ่ายเงียบสนิท นายธนาธร ไปเองเลย แล้วทำโดยพลการ โดยส่วนตัว เพราะว่านายธนาธร คือเจ้าของพรรคก้าวไกลตัวจริง ที่เหลือก็แค่เป็นเบี้ย เป็นหุ่นเชิดให้เท่านั้นเอง
ปัจจัยเรื่องนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นที่วางใจหรือสบายใจจริงในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข่าวว่านายทักษิณ จะเลื่อนกลับประเทศไทยอีกแล้ว คำถามมีอยู่ว่า ถ้านายเศรษฐาเป็นนายกฯ จริงๆ แล้วนายทักษิณจะเลื่อนกลับบ้านทำไม นี่คือคำถามที่คนงง
สรุปแล้วทางเลือกโหวตนายกรัฐมนตรี ถ้ามีการเลื่อนการโหวตนายกฯ ออกไป แปลว่าการเจรจาจัดสรรโควตารัฐมนตรีของ 3 พรรคตัวแปรยังไม่สำเร็จ แต่พรรคหลักที่อยู่ร่วมตั้งแต่แรก แถวที่หนึ่ง อย่างเช่นภูมิใจไทยนั้น ทราบมาว่าเจรจากันลงตัวเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันพุธ
ถ้าแบ่งโควตารัฐมนตรี 3 พรรคตัวแปรไม่สำเร็จ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีพรรค 2 ลุง เข้ามาร่วมเลย ก็เท่ากับว่าไม่มี ส.ว. สนับสนุน
“ในกรณีนี้ ถ้ายังดึงดันเสนอชื่อเศรษฐา ทวีสิน แปลว่าเศรษฐา เป็นตัวหลอก สับขาหลอก ที่เอาไปแพ้ในสภาฯ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่น ซึ่งไม่รู้ว่าอาจจะเป็นใคร อาจจะเป็นอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ซึ่งผมก็คิดว่าไม่ใช่ หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่ เพราะว่าวันนี้ 3 ป. ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่มีอำนาจในการต่อรองเลยแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากกระแสของสังคมทั่วประเทศไทยไม่เอา 3 ป.
“หรือจะเป็นอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งถ้ามองในรูปนี้แล้ว นายอนุทิน จะมีภาษีเหนือกว่าทุกๆ คน แต่ถ้าเจรจาสำเร็จทั้งหมด เศรษฐาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คำถามคือว่า จะผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่ผมพูดไปหรือเปล่า
“นี่คือหลักคณิตศาสตร์ที่เห็นชัดเจน เพราะว่าถ้าแถวที่หนึ่ง 234 เสียง บวกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้แค่ 251 เสียง มากกว่า 250 แค่ 1 เสียง อันตรายมาก เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสน่าจะมาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ
“ท่านผู้ชมครับ นี่คือการวิเคราะห์ตามหลักคณิตศาสตร์ แน่นอนที่สุด ก็มีการเจรจาต่อรองกันลับหลัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เพื่อไทยพูด หรือสิ่งที่ก้าวไกลพูดในทางสาธารณะนั้น เชื่อไม่ได้ เพราะว่าลับหลังอาจจะแอบตกลงอะไรกัน ผมก็ไม่รู้” นายสนธิกล่าว